ภารกิจการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ในวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ถือเป็นทั้งการส่งต่อชีวิต จากหนึ่งชีวิตที่ดับสูญสู่อีกหนึ่งชีวิตใหม่ และถือก้าวสำคัญของสาธารณสุขไทยที่การปลูกถ่ายหัวใจเกิดขึ้นครั้งแรกในโรงพยาบาลส่วนภูมิภาค นอกกรุงเทพมหานคร
ย่างก้าวสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งองค์ความรู้สาธารณสุข และ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ระดับสูงที่ใกล้ชิด ทั่วถึงประชาชนมากขึ้น
‘PSU Broadcast’ พูดคุยกับ ดร.พญ.มณฑิรา ตัณฑนุช หัวหน้าศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ในรายการสภากาแฟ ถึงความเป็นมาและเบื้องหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะครั้งสำคัญที่เกิดขึ้น

ที่มาของการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ
พญ.มณฑิราเล่าว่าผู้บริจาคหัวใจนั้น เดิมเป็นคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรงและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เมื่ออาการไม่ดีขึ้นและร่างกายเข้าสู่สภาวะสมองตายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ความหมายในทางการแพทย์คือภาวะแกนสมองถูกทำลาย ถือเป็นการเสียชีวิตแล้ว แม้หัวใจยังเต้นอยู่
ในด้านจิตวิญญาณคือการสูญเสียหนึ่งชีวิต อีกด้านหนึ่งคือการส่งต่ออีกหนึ่งชีวิตให้ไปต่อได้ เมื่อผ่านการพูดคุยของทีมแพทย์ร่วมกับญาติผู้ป่วย จึงเห็นตรงกันว่าอวัยวะในร่างกายสามารถส่งมอบต่อสู่ผู้อื่น
ญาติผู้ป่วยจึงแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ เข้าสู่กระบวนการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568
การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และ ครั้งแรกของโรงพยาบาลภูมิภาค แม้โรงพยาบาลสงขลานครินทร์จะทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไต อยู่แล้ว แต่การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจมักเกิดเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพมหานคร เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลรามาธิบดี และ โรงพยาบาลศิริราช


กระบวนการแพทย์ก่อน-ระหว่างการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ
พญ.มณฑิราเผยว่าเนื่องจากหัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายซึ่งมีความละเอียดอ่อน จึงต้องมีการดูแลทั้งความดันหัวใจ ต้องนำผู้บริจาคหัวใจเข้าห้อง ICU และเปิดโอกาสให้ญาติร่ำลา รวมถึงทีมแพทย์ผู้ดูแลทำการขอขมาคนไข้ เนื่องจากกระบวนการผ่าตัดอาจส่งผลให้คนไข้ไม่สบายกาย

ด้านกระบวนการผ่าตัดปลูกถ่าย พญ.มณฑิราเผยว่าต้องเปิดห้องผ่าตัด 2 ห้องคู่ขนานกัน เพื่อลดเวลาที่ต้องนำอวัยวะแช่น้ำแข็งสำหรับการปลูกถ่าย หากนับรวมทีมแพทย์และพยาบาลทั้งสองห้องมากกว่า 30 คน ซึ่งรวมถึงบุคลากรโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ทีมแพทย์พี่เลี้ยงจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ บุคลากรจากสภากาชาดไทย

“ห้องผ่าตัดของศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์จะทะลุถึงกันข้างในได้ซึ่งผ่านการออกแบบโดยเฉพาะ และเป็นเขตปลอดเชื้อถาวร ซึ่งงบประมาณก่อสร้างจากการวิ่งระดมทุนของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.)” หัวหน้าศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะกล่าว

กรณีนี้ผู้บริจาคไม่เพียงมอบหัวใจเท่านั้น แต่รวมถึง ไต 2 ข้าง และ ดวงตา ซึ่งหลังการผ่าตัด ไตข้างหนึ่งจะทำการปลูกถ่ายสู่ผู้รับที่เนื้อเยื่อเข้ากันได้ดีที่สุดซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ไตอีกหนึ่งข้าง และ ดวงตา จะส่งไปที่กรุงเทพมหานคร

การดูแลและผลตอบรับของผู้ป่วยหลังผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ
การดูแลคนไข้หลังการบริจาคอวัยวะ คนไข้ต้องดูแลตัวเองตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด และต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งส่งผลให้อาจติดเชื้อได้ง่าย
เนื่องจากอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายมาจากบุคคลอื่น แม้จะพิจารณาว่าเข้ากันได้ดีที่สุดระหว่างผู้บริจาค-ผู้รับแล้ว แต่จะไม่เหมือนการปลูกถ่ายอวัยวะจากฝาแฝดไข่ใบเดียวกัน (แฝดแท้) ทำให้ต้องกินยาต้องสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายปฏิเสธอวัยวะในอนาคต

ความเสี่ยงคือกรณีที่เกิดการติดเชื้อ หากภูมิคุ้มกันปกติจะหายได้เอง แต่เมื่อภูมิคุ้มกันผิดปกติอาจมีโอกาสเสียชีวิตง่ายกว่าปกติ และต้องเอาดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ทั้งนั้น พญ.มณฑิรากล่าวว่า ทีมงานทุกคนดีใจมากที่คนไข้ลุกขึ้นมายิ้มได้ภายใน 1 วัน หลังจากผ่าตัด

“โดยปกติจะใช้ชีวิตเป็นปกติได้หลังการรักษาตัวราว 1 เดือน เพราะคนไข้ที่หัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อในร่างกายจะไม่ดี เพราะนอนติดเตียงมาระยะหนึ่ง และ ช่วงที่รักษาตัวต้องผ่านการกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของร่างกาย” หัวหน้าศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์กล่าว



ศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
พญ.มณฑิรากล่าวว่า โรงพยาบาลสงขลานครินทร์เป็นศูนย์ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 เริ่มจากการปลูกถ่ายไต รวมถึงอวัยวะอื่นที่ดูแลอยู่รวมถึง ตา และ ตับ
ในส่วนตับนั้น ผ่านการตรวจรับรองจากสภากาชาดไทยตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2567 แต่การปลูกถ่ายอวัยวะได้ต้องผ่านการตรวจการเข้ากันได้ดี (matching) และยังไม่มีผู้ป่วยที่รับการปลูกถ่ายตับของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์

ส่วนการปลูกถ่ายหัวใจ ได้รับการตรวจรับรองจากสภากาชาดไทยตั้งแต่ 20 มกราคม 2567 การปลูกถ่ายหัวใจ ต้องพิจารณาจากกลุ่มเลือด ขนาดตัวใกล้เคียงกันของผู้บริจาคและผู้รับ

บริจาคร่างกาย และ บริจาคอวัยวะ ต่างกันอย่างไร?
ข้อมูลจากสภากาชาดไทย หน่วยงานหลักซึ่งดูแลการรับบริจาคอวัยวะของประเทศไทยระบุความแตกต่าง ดังนี้
การบริจาคอวัยวะ | การบริจาคร่างกาย |
มอบอวัยวะเพื่อนำไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยที่อวัยนะนั้นเสื่อมสภาพ | การอุทิศร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ใช้ศึกษา หรือ การเป็น “อาจารย์ใหญ่” |
ผู้บริจาคต้องเสียชีวิตจากภาวะ “สมองตาย” ที่โรงพยาบาลเท่านั้น (ยกเว้น ไต 1 ข้าง, ตับ, ไขกระดูก ที่บริจาคได้ตอนมีชีวิต) | หลังการเสียชีวิต ต้องแจ้งให้รับร่างกายภายใน 24 ชั่วโมง และ หลังการศึกษา 2 ปี ทางคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลนั้นจะประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลต่อไป |
ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย, เหล่ากาชาดจังหวัด และ โรงพยาบาลประจำจังหวัด | คณะแพทยศาสตร์ทุกแห่ง และมีเกณฑ์การรับและอุทิศร่างกายต่างกัน |
ช่องทางติดต่อ หากความประสงค์บริจาคอวัยวะหรือบริจาคร่างกายที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์-โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
- ศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ สำนักงานอยู่ที่ชั้น 1 อาคารสูติ-นรีเวช (หลังเวชระเบียน) โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
ภาพ: ศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์