‘ปาดังเบซาร์’ เมืองชายแดนในชื่อภาษามลายูแปลว่า ‘ทุ่งอันกว้างใหญ่’ ตั้งอยู่ในพื้นที่พรมแดนของสองฝั่งประเทศไทย-มาเลเซีย มีเพียงเส้นรัฐชาติและรั้วชายแดนขีดคั่นระหว่าง อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาและรัฐเปอร์ลิส
อดีตเมืองเศรษฐกิจการค้าชายแดนแห่งนี้ ตั้งอยู่ทางใต้ของจังหวัดสงขลา ห่างจากอำเภอหาดใหญ่ราวหนึ่งชั่วโมง เคยถูกรับรู้และจดจำผ่านการเป็นพื้นที่เมืองเศรษฐกิจที่คึกคักรุ่งโรจน์ จากยุคที่มีการเปิดพื้นที่ค้าขายชายแดนสองฝั่งประเทศ ตั้งแต่ราว 40-50 ปีก่อน
เมื่อการค้าขายเปลี่ยนรูปแบบ มีทางเลือกการสัญจรเพิ่มขึ้น ปาดังเบซาร์ก็เหลือเพียงร่องรอยความเฟื่องฟู จนกระทั่งปัจจุบันอาจพูดได้ว่า ผู้คนรู้จักเมืองนี้ในฐานะเป็นจุดผ่านแดนของการเดินทาง ข้ามประเทศไปยังจุดหมายอื่น
เช่นหากเดินทางจากมาเลเซีย ก็เป็นพื้นที่เปลี่ยนถ่ายไปสู่หาดใหญ่ พัทลุง หรือ กรุงเทพมหานคร หากเดินทางเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย จุดหมายอย่างปีนัง กัวลาลัมเปอร์ หรือ สิงคโปร์ รวมถึงเป็นพื้นที่แสวงหาโอกาสของพื้นที่ชายแดนใต้ด้วยกันเองเพียงเท่านั้น
นอกเหนือจากอดีตในด้านการค้าที่ผู้คนมักจดจำ พื้นที่ปาดังเบซาร์ยังเก็บซ่อนพลวัตรทางประวัติศาสตร์ทางรถไฟสายใต้ พัฒนาการภายในของสยาม-ประเทศไทย ความเป็นเมืองชายแดนยังรวมถึงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย นั่นรวมไปถึงการเจรจาและปักปันเขตแดนของทั้งสองประเทศ ที่สะท้อนผ่านพื้นที่แห่งนี้
ซีรีส์สารคดี ‘Beyond Boundaries’ ชวนย้อนประวัติศาสตร์เมืองปาดังเบซาร์ ควบคู่กับประวัติศาสตร์การเจรจาปักปันเขตแดนไทย-มาเลเซีย ที่สัมพันธ์และร้อยรัดกัน เพื่อชวนสะท้อนเป็น ‘บทเรียนสันติภาพ’ ต่อกรณีความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนอื่นของประเทศไทย

-1-
บทเรียนสันติภาพ จากร่องรอยความรุ่งเรืองเมืองการค้าชายแดน
จุดเริ่มต้นของเส้นทางสายประวัติศาสตร์ของปาดังเบซาร์แห่งนี้ อาจย้อนไปได้ตั้งแต่การเปิดเดินรถไฟสายใต้ เส้นทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เมื่อ พ.ศ.2478 ถือเป็นเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงหัวเมืองภาคใต้ของรัฐสยามเข้ากับกรุงเทพ และสหพันธรัฐมลายา (หรือมาเลเซียในปัจจุบัน)
เส้นทางสายเดียวกันนี้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนับ “ปาดังเบซาร์” ไว้บนแผนที่ทางเศรษฐกิจ โอกาสทางชีวิต รวมถึงเป็นจุดบรรจบของผู้คนตามแต่ละช่วงยุคสมัย



หนังสือ ‘ผู้ค้าข้ามแดนไทย-มาเลเซีย’ ซึ่งเรียบเรียงจากงานวิจัยมานุษยวิทยา บันทึกประวัติศาสตร์ คำบอกเล่าของผู้คน และบันทึกพื้นที่ชีวิตของผู้ทำอาชีพการค้าข้ามแดนในปาดังเบซาร์โดย ‘เก็ตถวา’ บุญปราการ แบ่งยุคสมัยของเมืองปาดังเบซาร์ เป็น 3 ช่วงใหญ่ก่อนถึงสภาพบ้านเมืองในปัจจุบัน
ช่วงแรกคือช่วงบุกเบิกพื้นที่ พ.ศ. 2478-2499 หลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ส่งผลให้ทั้งชาวจีน และ ชาวสยาม เข้ามาจับจองพื้นที่หักร้างถางพง สร้างบ้านเรือน-ในบริเวณที่เรียกว่าปาดังเบซาร์ที่เชื่อมโยงทั้งสองฝั่งประเทศ และสร้างบ้านเรือนและค้าขายกันในพื้นที่ชุมชน
ยุคที่สองคือ พ.ศ.2500-2516 เริ่มมีชาวมุสลิมจากทั้งอำเภอสิงหนคร และ อำเภอจะนะจังหวัดสงขลา เข้ามาอาศัยในพื้นที่ และเมื่อมีการพัฒนาถนนหนทาง เริ่มมีรถโดยสารสองแถวสัญจรมากขึ้น การค้าขายจึงขยายตัวออกนอกชุมชน ขยายเครือข่ายทางการค้า

ในยุคที่สามซึ่งถือเป็นจุดที่รุ่งเรืองที่สุดของเมืองชายแดนแห่งนี้ คือช่วงตั้งแต่ พ.ศ.2516-2531 ถือเป็น 15 ปีของการเปิดพื้นที่ “ตลาดขาวแดง” พื้นที่ค้าขายสินค้าร่วมของปาดังเบซาร์ฝั่งประเทศมาเลเซีย และมีทางเข้า-ออกบริเวณเขตย่านเศรษฐกิจปาดังเบซาร์ฝั่งไทย

หากลองนิยามคำว่า ‘สันติภาพ’ ว่าอาจไม่ได้หมายถึงเพียงความสงบที่ปราศจากความขัดแย้ง แต่ยังเป็นสถานการณ์ที่ความแตกต่างหลากหลาย ทั้งภาษา เชื้อชาติ ความเชื่อ ฯลฯ อยู่ร่วมกันโดยมีทั้งพื้นที่หาทางออก และพื้นที่ปฏิสัมพันธ์ในขณะเดียวกัน นั่นอาจเป็นนิยามสันติภาพในแบบที่ปาดังเบซาร์เป็น
บทเรียนสันติภาพจากยุครุ่งเรืองของเมืองชายแดนแห่งนี้ คือการใช้พื้นที่สถานีรถไฟปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นสถานีร่วมของสองประเทศไทย-มาเลเซีย ปัจจุบันสถานีร่วมดังกล่าว ก็ใช้เป็นพื้นที่ผ่านแดนและเปลี่ยนขบวนรถไฟ แม้หลังการเจรจาเขตแดน สถานีร่วมนี้ในปัจจุบันจะอยู่ในฝั่งประเทศมาเลเซียก็ตาม
บทเรียนที่สองคือพื้นที่ทางการค้าร่วม “ตลาดขาวแดง” ซึ่งกระบวนการควบคุมการข้ามประเทศไม่ได้เข้มงวดเท่าปัจจุบัน สินค้าทั้งที่มาจากภายในไทยและนำเข้าจากมาเลเซียรวมถึงสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร เสื้อผ้า ผลไม้ ของใช้ในครัวเรือน ขนมปัง ไปจนถึงรองเท้าและน้ำหอมที่มีผู้คนเข้ามาจับจ่ายใช้สอย จนถึงขนส่งไปขายยังพื้นที่อื่น ซึ่งนั่นรวมถึงตัวเมืองหาดใหญ่ด้วย
หนึ่งในโอกาสทางเศรษฐกิจในช่วงนี้ที่ตกทอดมายังปัจจุบัน คือการขนถ่ายสินค้าข้ามแดน ทั้งที่เสียภาษี ลักลอบ เกิดเป็นอาชีพสำหรับคนตัวเล็กตัวน้อยในนาม ‘กองทัพมด’ ในสมัยก่อน สู่ร่องรอยการซ่อมแซมตะแกรงรั้วกั้นแดนครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงการค้าโลจิสติกส์ใต้ผ้าใบรถบรรทุกที่วิ่งเข้าออกเมือง


ภายหลังการปิดพื้นที่ “ตลาดขาวแดง” ในปี พ.ศ. 2531 ปาดังเบซาร์ก็เริ่มเข้าสู่สภาวะถดถอย จากการค้า “ชายแดน” เปลี่ยนเป็น “การค้าข้ามแดน” ที่มีผู้ค้าชาวไทยข้ามไปค้าขายในปาดังเบซาร์ฝั่งมาเลเซีย ที่มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งพื้นที่ตลาดคอมเพล็กซ์ ขนส่งสาธารณะ และโอกาสของชีวิตที่มากกว่าฝั่งไทย


ร่องรอยความเจริญ สะท้อนผ่านสิ่งปลูกสร้างและวัตถุที่สังเกตได้ในตัวเมืองย่านเศรษฐกิจของปาดังเบซาร์ ทั้งโรงแรมหลายแห่งในอดีตที่ปัจจุบันทิ้งร้าง ตัวอย่างที่เห็นตามพื้นที่ตัวเมือง เช่น โรงแรมหลายแห่งถูกปรับให้เป็น “บ้านรังนก” ร้านทองของทั้งคนเชื้อสายจีนและมุสลิม จนถึงธนาคารที่มีอยู่ทุกแบรนด์

ตลาดขาวแดงเหลือเพียงคำบอกเล่าของความทรงจำ สถานีร่วมปาดังเบซาร์แม้จะอยู่ในฝั่งมาเลเซียในปัจจุบันก็ยังเป็นพื้นที่ข้ามแดน สองตัวอย่างนี้สะท้อนให้เห็น พื้นที่ชายแดนแห่งนี้ร้อยรัดเข้ากับทั้ง ประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ไปจนถึงบริบทของประวัติศาสตร์โลก และมรดกของประวัติศาสตร์ในช่วงยุคล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกในพื้นที่ความทรงจำร่วม


หากย้อนประวัติศาสตร์ออกไปอีก นอกจาก 2 บทเรียนพื้นที่ร่วมแล้ว เรายังพบประวัติศาสตร์แก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจในพื้นที่ปาดังเบซาร์แห่งนี้ นั่นคือ “การแลกเปลี่ยนดินแดน”
-2-
แลกเปลี่ยนดินแดน: บทเรียนสันติภาพผ่านโต๊ะเจรจาไทย-มาเลเซีย
แนวเขตแดนไทย-มาเลเซียมีความยาวทั้งหมด 647 กิโลเมตร พาดผ่านพื้นที่ตามแนวเขตแดนตามธรรมชาติทั้งสันปันน้ำ 552 กิโลเมตร และ ตามลำน้ำ 95 กิโลเมตร ผ่านพื้นที่ประเทศไทยจากตะวันตกออกสุดที่จังหวัดสตูล ไล่มาตามจังหวัดสงขลา จังหวัดยะลา และตะวันออกตกสุดที่จังหวัดนราธิวาส
รากของการปักปันเขตแดนนี้สืบย้อนไปตั้งแต่ พ.ศ.2452/ค.ศ.1909 ซึ่งรัฐสยามและอาณานิคมอังกฤษ ทำสนธิสัญญาสยาม-อังกฤษ ค.ศ.1909 ซึ่งสยามยกสิทธิการปกครองเหนือรัฐเกดะห์ กลันตัน ตรังกานู เปอร์ลิส และเกาะใกล้เคียงให้แก่อังกฤษ แลกกับการยกเลิกสัญญาสัญญาลับที่ทำเมื่อ พ.ศ.2440/ค.ศ. 1897 ซึ่งสยามเสียเปรียบ
หลังปี พ.ศ.2452/ค.ศ.1909 กระบวนการเริ่มต้นปักปันเขตแดนระหว่างสยาม (ต่อมาเป็นประเทศไทย) และ อังกฤษ (สหพันธรัฐมลายา และ ต่อมาเป็น ‘มาเลเซีย’ หลังได้รับเอกราช) จึงเริ่มต้นขึ้น หนังสือ “เขตแดนสยามประเทศไทย–มาเลเซีย–พม่า–ลาว–กัมพูชา” (สำนักพิมพ์ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2554) โดยทีมคณะนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์และประวัติศาสตร์แบ่งได้เป็น 3 ยุคของการปักปันเขตแดนชายแดนไทย-มาเซีย ตามตารางข้างล่าง ดังนี้
| ยุคประวัติศาสตร์ร่วมสมัย | ยุคการปักปันเขตแดน | ประวัติศาสตร์ปาดังเบซาร์ |
|---|---|---|
| ค.ศ. 1909/ พ.ศ. 2452 สนธิสัญญาสยาม-อังกฤษ ยกสิทธิการปกครองเหนือรัฐเกดะห์ กลันตัน ตรังกานู เปอร์ลิส และเกาะใกล้เคียงให้แก่อังกฤษ แลกกับการยกเลิกสัญญาสัญญาลับที่ทำเมื่อ พ.ศ.2440/ค.ศ. 1897 ซึ่งสยามเสียเปรียบ | ||
สงครามโลกครั้งที่ 1 พ.ศ. 1914 – 1918 | ยุคที่ 1 ยุคสำรวจและปักปันเขตแดน พ.ศ.2453-2455/ค.ศ.1910-1912 จัดตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมสยาม-อังกฤษ สำรวจและปักปันเขตแดนจำนวน 72 หลัก เขตแดนที่หันหน้าเข้าสยามจะมีอักษรจารึกว่า “SIAM” และด้านที่หันหน้าเข้ามาเลเซียจะมีอักษรจารึกตามชื่อรัฐ | |
สงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2482-2488/ ค.ศ.1939-1945 | เนื่องจากหลักเขตแดนปักปันไม่ละเอียด จึงเกิดปัญหาการรุกล้ำแนวเขตแดน รวมถึงพื้นที่ช่องว่างระหว่างพรมแดน (No Man’s Land) หลังทั้งสองประเทศก่อสร้างรั้วกั้นของตนเองขึ้นมา เกิดปัญหาอาชญากรรม พื้นที่สีเทาในดินแดนที่เป็นช่องว่างนี้ | ปาดังเบซาร์ยุคบุกเบิก หลังเส้นทางรถไฟสายใต้ พ.ศ. 2478-2499/ค.ศ.1935-1956 |
| ปาดังเบซาร์ยุคการค้าห้องแถว และพื้นที่เมืองขยาย พ.ศ.2500-2516/ค.ศ. 1957-1973 | ||
| ยุคที่ 2 ยุคสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเพิ่มเติม พ.ศ. 2516-2528/ ค.ศ. 1973-1985 | ปาดังเบซาร์ยุคตลาดการค้าขาวแดง พ.ศ.2516-2531/ค.ศ.1973-1988 | |
| ปาดังเบซาร์หลังยุคตลาดการค้าขาวแดง พ.ศ.2531-ปัจจุบัน | ||
สหภาพโซเวียตล่มสลาย จุดสิ้นสุดสงครามเย็นพ.ศ.2534/ค.ศ.1991 | ยุคที่ 3 ยุคสำรวจเพิ่มเติม บำรุงรักษาเขตแดน พ.ศ.2536-ปัจจุบัน ไม่ได้มีการจัดทำหลักเขตแดนเพิ่มเติม แต่ดำเนินการสำรวจ ซ่อมแซม และบำรุงรักษาหลักเขตแดนเดิม และการสร้างหลักเขตแดนใหม่นั้น ต้องเป็นการดำเนินร่วมและได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 ประเทศ | |
หากสังเกตจะพบว่าในช่วงรอยต่อระหว่างยุคที่ 1 และ ยุคที่ 2 ของการปักปันเขตแดนนั้น เขตแดนเพียงจำนวน 72 หลัก ตลอดแนวชายแดนกว่า 600 กิโลเมตรส่งผลต่อปัญหาแนวเขตแดนอย่างน้อย 2 ประเด็น
หนึ่ง เกิดพื้นที่ช่องว่างระหว่างรั้วเขตแดนไทย-มาเลเซียซึ่งทั้งสองประเทศก่อสร้างขึ้น เกิดเป็นพื้นที่ “No Man’s Land” ในพื้นที่ราว 90 ไร่ในพื้นที่ปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นช่องว่างทางอำนาจของไทย-มาเลเซีย และเกิดปัญหาอาชญากรรม การลักลอบสินค้าหนีภาษี ซึ่งสองประเทศพิจารณาว่าพื้นที่ไม่ใช่อาณาเขตของรัฐตนเอง

สอง กรณีที่ฝั่งไทยได้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดนของประเทศมาเลเซีย ได้แก่ บริเวณศาลเจ้าแม่กวนอิม ศาลเจ้าฮกเต็กแป๊ะกง และ ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ ซึ่งทั้งสามสถานที่ รวมถึงพื้นที่ No Man’s Land ตั้งอยู่ในพื้นที่ปาดังเบซาร์ทั้งสิ้น

การดำเนินการแก้ไขข้อพิพาททั้งสองด้านได้ทำผ่านร่างบันทึกความเข้าใจ (MoU – Memorandum of Understanding) 2 ฉบับเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาท จากการประชุมนายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2541/ค.ศ. 1998
MoU ฉบับที่ 1 ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนพื้นที่ก่อสร้างลำเขตแดนประเทศมาเลเซียทั้ง 3 จุด ในพื้นที่ปาดังเบซาร์ รวมพื้นที่ 2,144.04 ตารางเมตร (ศาลเจ้าแม่กวนอิม 71.95 ตารางเมตร, ศาลเจ้าแป๊ะกง 1,500.25 ตารางเมตร และ ด่านศุลกากรฯ 571.84 ตารางเมตร) แลกกับพื้นที่บริเวณทางรถไฟเป็นจำนวนเท่ากัน


MoU ฉบับที่ 2 ว่าด้วยการสร้างรั้วเดี่ยวในพื้นที่ปาดังเบซาร์ในบริเวณพื้นที่แลกดินแดนและ No Man’s Land เดิม เป็นระยะทางรวม 5.315 กิโลเมตร ซึ่งฝ่ายไทยรับผิดชอบก่อสร้าง 2.5 กิโลเมตร และ ฝ่ายมาเลเซียรับผิดชอบก่อสร้างระยะทาง 2.815 กิโลเมตร
แนวทางการแก้ไขปัญหารั้วเดี่ยวนี้ ยังใช้ในการแก้ไขปัญหาในบริเวณบ้านด่านนอก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาเช่นเดียวกัน


“วิธีการแก้ไขปัญหาคือแลกพื้นที่กัน สิ่งก่อสร้างเหล่านี้พื้นที่เท่าไร ต้องแลกกับพื้นที่ในไทยที่จะยกให้มาเลเซียสร้างทางรถไฟ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เท่ากัน ฟังดูเหมือนง่าย สมมติว่าถ้าเกิดรัฐบาลมาเลเซียบอกว่า ‘ไม่ได้ ต้องรื้อทิ้งเลย’ อาจจะส่งผลกระทบค่อนข้างมากในความสัมพันธ์และผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน เพราะสิ่งก่อสร้างที่สร้างเป็นทางความเชื่อและศูนย์รวมจิตใจ เลยเป็นการคุยกันพยายามแก้ไขปัญหาจริงๆ”
ผศ.ดร.อรอนงค์ ทิพย์พิมล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในคณะทำงานศึกษาประเด็นเขตแดนในหนังสือ เขตแดนสยามประเทศไทย-มาเลเซีย-พม่า-ลาว-กัมพูชา กล่าวถึงกระบวนการของการปักปันและแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนไทย-มาเลเซีย



-3-
บทเรียนจากปาดังเบซาร์ สู่ความท้าทายของไทยตามแนวชายแดน
แนวทางการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนไทย-มาเลเซีย มักถูกยกขึ้นเป็นหนึ่งในตัวอย่างการแก้ไขข้อพิพาทด้านเขตแดนที่เกิด “ปัญหาน้อยที่สุด” หากเทียบเคียงกับกรณีความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาดังที่เกิดสงครามในช่วง 20 ปีมานี้ในหลายเหตุการณ์น้อย-ใหญ่ที่ทั้งส่งผลต่อความสูญเสีย จนถึงพื้นที่พรมแดนระหว่างประเทศเมียนมา
ผศ.ดร.อรอนงค์มองว่าความสำเร็จในการแก้ไขข้อพิพาทด้านเขตแดนนี้ มีหลากหลายตั้งแต่ ความสัมพันธ์ระหว่างคณะเจรจาปักปันเขตแดนรวมถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศต่อการแก้ไขปัญหา การยึดอัตราส่วนของแผนที่ในอัตราส่วนเดียวกัน จนถึงการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบของคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง
แต่หนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์มองว่าเป็นจุดชี้ขาดคือ “การให้ความสำคัญกับด้านเทคนิคในการปักปันเขตแดน” ทั้งการเริ่มต้นจากการพิจารณาสนธิสัญญา ค.ศ.1909 และรายละเอียดแนบท้าย ภายใต้หลักการเจรจาของสองฝั่งประเทศที่ “ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียประโยชน์”

นักวิชาการประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยกตัวอย่างกรณีก่อสร้างรั้วเดี่ยวในพื้นที่ปาดังเบซาร์ ว่าต้องเริ่มจากการที่สองประเทศเห็นตรงกันว่าเขตแดนอยู่ตรงไหนจึงจะสามารถเห็นพ้องร่วมกันเพื่อก่อสร้าง “รั้วเดี่ยว” ที่เป็นเขตแดนของทั้งสองประเทศร่วมกันได้
“สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ มันถูกทำให้เป็นเรื่องทางเทคนิคจริงๆ ไม่ใช่เรื่องทางการเมือง หากเราเอาเรื่องทางการเมือง ชาตินิยม ความรักชาติ จะคุยกันไม่ได้ เพราะทั้งสองฝ่ายก็รักชาติ มีความรู้สึกชาตินิยมด้วยกันทั้งคู่ ถ้าไม่เอาเรื่องเทคนิคและหลักการมาคุยกัน มันแก้ปัญหาไม่ได้” ผศ.ดร.อรอนงค์กล่าว

อ้างอิง
สัมภาษณ์ ผศ.ดร.อรอนงค์ ทิพย์พิมล
หนังสือ ผู้ค้าข้ามแดนไทย-มาเลเซีย : และพื้นที่ชีวิตในตลาดปาดังเบซาร์ (ศูนย์อาเซียนศึกษา ม.เชียงใหม่) เขียนโดย ผศ.ดร.เก็ตถวา บุญปราการ
ผู้เขียนขอขอบคุณทีมงาน Voice of Padang Besar ที่ร่วมจัดกิจกรรมเดินเมืองปาดังเบซาร์, คณะกรรมการศาลเจ้าฮกเต็กแป๊ะกง ปาดังเบซาร์, อาเจ็กร้านบะกุดเต๋ ปาดังเบซาร์ และชาวปาดังเบซาร์ทุกท่านในช่วงที่ทีมงานสถานีวิทยุฯ ลงพื้นที่สัมภาษณ์และเก็บข้อมูล
เรื่องและภาพ: ธีรภัทร อรุณรัตน์
บรรณาธิการ: บัญชร วิเชียรศรี
ผู้ประสานงาน: ธนาภรณ์ ปุราวัฒนากุล
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘สื่อสันติภาพ (Peace Media)’ ภายใต้ความร่วมมือกับสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เพจ Voice of Padang besar พื้นที่ส่งเสียงคนปาดังฯ วาดอนาคตเมืองชายแดน
“นั่งรถไควไปฟินปาดัง” การเดินค้นหาคุณค่าและความหมายของปาดังเบซาร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรือง









