คุยกับนักจิตวิทยาบ้านวัยใส ดูแลกาย ฟื้นใจ ช่วงชาวหาดใหญ่เริ่มต้นใหม่หลังวิกฤต

ไม่เหลืออะไรเลย” เป็นประโยคที่ได้ยินไม่เว้นวันหลังระดับน้ำเริ่มลดในพื้นที่หาดใหญ่

น้ำท่วมหาดใหญ่และพื้นที่ภาคใต้ พ.ศ. 2568 นี้ คือ “มหาอุทกภัย” ทั้งในแง่ผลกระทบทางกายภาพ และ ความสูญเสียทั้งที่ตีเป็นมูลค่าทรัพย์สินได้  อารมณ์ความรู้สึก จนถึงความสูญเสียที่ไม่สามารถใช้หน่วยวัดไหนมาตีเป็นรูปธรรม

ท่ามกลางเสียงภายในภายนอกที่บอกว่าต้องเดินหน้าต่อ แต่จะรับมืออย่างไรในวันที่สุขภาพใจของทั้งตัวเรา หรือคนรอบข้าง เริ่มส่งเสียง “ไม่โอเค” “ไม่ไหวแล้ว”

เราเก็บคำถามนี้ไปพูดคุยกับ ‘ฟ้าใส’ ณรภร พันธุ์กาหลง และ ‘บ๊ะ’ ซูวัยบ๊ะ เปาะและ สองนักจิตวิทยาประจำ ‘บ้านวัยใส’ หน่วยงานด้านการให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ถึงความสำคัญ และคำแนะนำภาพรวมของการดูแลสุขภาพใจตนเองและคนรอบข้าง ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากร่วมกัน

ชวนอ่านบทสนทนาต่อจากนี้ สูดหายใจเข้าลึกๆ และสำรวจใจตัวเองไปพร้อมกัน

การสำรวจความรู้สึก ดูแลสุขภาพใจตัวเองและคนรอบข้าง ทำไมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ซูวัยบ๊ะ: เรามองว่าด้านอารมณ์และจิตใจภายในของมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อน คำว่า “ไม่โอเค” ของแต่ละคนกว้างและซับซ้อนมาก ดังนั้นการมองและให้ความสำคัญในเรื่องนี้บางครั้งอาจจะถูกมองข้าม 

สุขภาพใจเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเป็นองค์รวม ไม่อยากให้มองแยกกัน หากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายรู้สึกว่าไม่โอเค จะส่งผลกระทบถึงกัน บางคนอาจจะไม่รู้ตัวว่ามีความเครียด แต่ร่างกายเราจะไม่โกหก เช่น ปวดท้องบิด หรือ กินข้าวไม่ลง รู้สึกพะอืดพะอม ฯลฯ

สมัยก่อนเวลาเราพูดถึง ‘สุขภาพใจ’ คำว่า ‘นักจิตวิทยา’ หรือ ‘จิตแพทย์’ ก็อาจจะยึดโยงกับคำว่า ‘ศรีธัญญา’ (โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวช) หรือ ‘ความเป็นบ้า’ กลายเป็นการสร้างกำแพงทางสังคมและกว่าที่คนหนึ่งจะตัดสินใจเข้ามาพูดคุยก็ไม่ง่าย แต่ปัจจุบันกำแพงเหล่านี้ก็เริ่มลดลงแล้ว

ณรภร: เรื่องสุขภาพใจ เรามองไม่เห็นเหมือนแผลตามร่างกาย ถ้าหกล้ม เวลาผ่านไปก็รักษาหาย แต่ใจเป็นเรื่องความรู้สึก มุมมอง ความฝังใจต่อเหตุการณ์ในอดีต หรือความคิดที่ติดตัวเป็นลักษณะนิสัย ถ้าหากเราไม่รับรู้ หรือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง อาจกลายเป็นนิสัยบางอย่างที่เกิดขึ้นแต่เราไม่รู้ตัว

บางครั้งเวลามีคนเข้ามาคุยขอคำปรึกษา จะเหมือนกับเราพูดคุยกับตัวเขาที่เป็นเด็กแล้วเจอแผลในใจ และต้องการใครสักคนพาตัวเองในปัจจุบันไปดูตัวเองในอดีตว่าใจเป็นอย่างไร 

‘ฟ้าใส’ ณรภร (ซ้าย) ‘บ๊ะ’ ซูวัยบ๊ะ (ขวา)

ในมุมมองนักจิตวิทยา ชวนย้อนทบทวนว่ามีสภาวะอารมณ์อะไรบ้างที่เกิดขึ้นได้ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา

ซูวัยบ๊ะ: ทั้งคนที่ประสบภัยโดยตรง และ ทางอ้อมผ่านการเสพข่าว ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุ แต่เป็นห่วงครอบครัว สัตว์เลี้ยง ทรัพย์สิน คนที่ปลอดภัยอยู่นอกพื้นที่ แต่ติดต่อใครไม่ได้  มิติของอารมณ์เหล่านี้ก็จะซับซ้อน 

ถ้าช่วงที่ฝนตกหนัก แล้วหนักขึ้นเรื่อยๆ ภาพในหัวของเราก็จะนึกเชื่อมโยงถึงช่วงเหตุการณ์ที่นอนตอนตี 2 และเห็นภาพคนรู้จักว่าอยู่บนหลังคาไหม ปลอดภัยดีไหม  ในขณะเดียวกันเราก็ค้นหาชื่อตามศูนย์พักพิงต่างๆ ว่ามีชื่อคนนั้นคนนี้ไหม ยิ่งไม่มีเราก็ยิ่งรู้สึกว่าติดอยู่ตรงไหนหรือเปล่า พอวันถัดมาเราก็ขับรถไปลองดู แต่ก็เข้าไปไม่ได้ ฯลฯ 

ถามว่าจะทำอย่างไรเมื่อมีสภาวะอารมณ์แบบนี้ บางคนพอจะสงบตัวเองได้ หรือมีเทคนิครับมือตามสภาวะอารมณ์ต่างๆ เช่น เทคนิคการตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ ให้พุงป่อง แล้วค่อยผ่อนทางปาก แต่หากมีอาการแพนิก (Panic) หายใจไม่ออก รู้สึกทรมาน ส่งผลต่อการใช้ชีวิต อันนี้อาจจะต้องปรึกษาเบื้องต้นเพื่อรับมือกับอาการ

ณรภร: คิดว่าสิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้แม้จะยากคือ “ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น” ถ้าเราปลอดภัยในช่วงเหตุการณ์ แต่บ้านเรือน ข้าวของเสียหาย อย่างแรกที่ต้องทำคือยอมรับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ เมื่อเราเริ่มยอมรับและรู้อารมณ์ของตัวเอง ถึงจะค่อยเริ่มฟื้นฟู เติมพลังงาน เพื่อให้พร้อมกลับไปสู้ต่อ 

อาการสะเทือนใจ (trauma) มันต้องใช้เวลาในการหาย ไม่ใช่สามารถหายได้ปุบปับ เพราะเราก็จะผูกเสียงฝนกับภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน ถ้าเกิดยังมีอาการก็ต้องปรึกษากันอีกทีหนึ่ง

ดังนั้นต้องหมั่นสังเกตตัวเอง รู้เท่าทันอารมณ์?

ซูวัยบ๊ะ: ใช่  อยากให้สังเกตตัวเองเยอะๆ ว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร อยู่ในสภาวะอารมณ์แบบไหน นอกจากเรื่องปัจจัยพื้นฐาน เช่น บ้าน ที่อยู่อาศัยที่ค่อยๆ ฟื้นฟู

สิ่งที่นักจิตวิทยาอยากจะบอกคือการขอความช่วยเหลือทางจิตใจเป็นเรื่องที่ทำกันได้ ไม่จำเป็นต้องแบกเรื่องที่หนักใจไว้คนเดียว สามารถเข้ามาปรึกษานักจิตวิทยาได้ เช่น บางเรื่องที่ไม่อยากคุยกับครอบครัว เดี๋ยวจะมีคนเป็นห่วง ไม่อยากคุยกับเพื่อนเพราะเขาก็ประสบมา หรือเพื่อนสนิท แฟน คนใกล้ชิดก็มีเรื่องอื่นด้วยเหมือนกัน 

ถ้าคุณอยู่ในสภาวะแบบนี้ อยากให้รู้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมมากจะเป็นผู้ฟัง อยู่ข้างๆ ให้คำแนะนำ อย่าง กรมสุขภาพจิต  หน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) อย่างภาควิชาจิตเวช โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หรือ บ้านวัยใสที่ให้คำปรึกษากับนักศึกษา ม.อ. 

หากตัวเองยังพอไหว มีคำแนะนำในการดูแลคนรอบตัวและครอบครัวอย่างไร?

ณรภร: ถ้าเป็นกลุ่มผู้สูงอายุอาจความยึดติดกับทรัพย์สินของตัวเอง เราก็ต้องเข้าใจเขา เพราะเขาใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตของตัวเองในการสร้างอะไรหลายอย่างในบ้าน

อาจจะต้องพยายามให้ความมั่นใจ ว่ายังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ ของที่เสียหายไป อาจจะไม่เป็นเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยคุณค่าสิ่งของก็ไม่เท่ากับคุณค่าของชีวิต อาจต้องใช้เวลาให้ผ่อนในความยึดติดกับสิ่งของ

ก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และวางแผนใหม่ว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่ก็ต้องเน้นให้เขายอมรับ เมื่อยอมรับแล้วทำอย่างไรต่อ เช่น เดี๋ยวเราจะมีของใหม่แล้ว ใช้ชีวิตต่อ เมื่อเขาจัดการความรู้สึกนี้ได้ เขาก็จะค่อยๆ ก้าวต่อได้

คุยกันมาถึงตรงนี้ ถึงจุดไหนที่ควรจะมาพบ หรือ ขอคำปรึกษาหน่วยงานด้านจิตวิทยา?

ณรภร: คิดว่าเกณฑ์หลักๆ ของการมาพบนักจิตวิทยา คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเราหรือไม่ ถ้าส่งผลหากต้องการมาปรึกษา พูดคุยกันเบื้องต้น หรือแค่ต้องการใครสักคนรับฟังก็มาได้แล้ว

ซูวัยบ๊ะ: ในมุมของบ๊ะ ไม่ต้องรอให้ไม่ไหว ไม่ต้องรอถึงวันที่ตัวเองหมดแรง ไม่มีแรงจะเดินมา เอาแค่รู้สึกว่าไม่โอเคก็พอ ไม่โอเคเฉยๆ ก็มาคุยได้ ทุกเรื่องเลย  มาคุยกันถึงสิ่งเหล่านั้น และค่อยๆ หา ทำความเข้าใจ หรือ ถ้าจะต้องแก้ปัญหาก็ค่อยวางแผนกัน ไม่แนะนำว่าถ้าไม่ไหว อดหลับอดนอน แค่รู้สึกว่าไม่โอเคก็มาหาได้เลยเราก็จะมีคู่มือประเมินสุขภาพใจเบื้องต้นที่สามารถทำเองได้ แต่การประเมินไม่ได้เป็นการบอกว่าเป็นโรคอะไร แต่บอกว่าช่วงนี้เรารู้สึกอะไร ซึ่งแบบประเมินนั้นแยกได้ 3 ส่วน ทั้ง ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความเครียด ซึ่งหลังการประเมินก็จะบอกระดับคะแนนและคำแนะนำ

จากประสบการณ์ทำงาน มุมมองภายในมหาวิทยาลัยและสังคมต่อการเข้ารับคำปรึกษาด้านสุขภาพใจเป็นอย่างไร

ซูวัยบ๊ะ: โดยภาพรวมภายในมหาวิทยาลัย นักศึกษามารับบริการกับเราจะมีช่องทางต่างจากเมื่อก่อนซึ่งส่วนใหญ่มาจากการส่งต่อ หมายถึง ไม่ได้คุยกับนักจิตโดยตรง แต่ผ่านบุคลากร เช่น อาจารย์ เจ้าหน้าที่วิจัย เจ้าหน้าที่กิจการนักศึกษา ฯลฯ แต่ช่วงหลังเด็กเลือก walk-in มากขึ้น โทรหา-ติดต่อมาโดยตรงเพื่อขอความช่วยเหลือมากขึ้น ช่องทางจากการส่งต่อจะน้อยลง

เราอยู่ที่นี่มา 6 ปีก็เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ค่อนข้างชัดในตัวนักศึกษา คิดว่าสื่อเป็นตัวสำคัญมากในการสร้างมุมมอง เดี๋ยวนี้คอนเทนต์มีให้ดูเยอะ เช่น คุณหมอที่พยายามให้ความรู้ผ่านติ๊กตอก ฯลฯ

เราอยากขยายพื้นที่ปลอดภัยในมหาวิทยาลัย ให้รู้สึกว่าเรื่องของใจเราคุยกันได้  เป้าหมายของเราคือ ผู้ใช้บริการยิ่งเยอะ ยิ่งดี ถ้าน้อยเราจะเครียด  เมื่อเทียบสถิติประเทศ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอยู่ที่ราว 4-7% ของประชากร แต่ที่เราเจอคือ 0.1-0.2% ของประชากรในพื้นที่มหาวิทยาลัย สัดส่วนนี้ก็ยังถือว่าน้อยมาก

ณรภร: การที่นักศึกษาเข้าหาเราเอง มากกว่าถูกส่งต่อมา เรามองว่าเป็นความสำเร็จใหญ่มาก เพราะไม่ใช่เพียงแค่นักศึกษาเดินเข้ามาแล้วรับบริการเลย แต่ต้องต่อสู้กับความคิดตัวเอง ค่านิยมของคนรอบข้าง ความกลัวว่าจะถูกตัดสินหรือไม่ พี่เขาจะตั้งใจฟังที่พูดจริงไหม ฯลฯ  การที่เขากล้ามาเลยเป็นความสำเร็จของทางบ้านวัยใส จนถึงภาพรวมของสังคม แต่เราก็ต้องทำงาน ทำโครงการต่อเนื่องกับนักศึกษา บุคลากรในเชิงรุกต่อไป

คำแนะนำจากทั้งสองคนที่อยากบอกกับทุกคนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ซูวัยบ๊ะ: ที่ผ่านมาก็หนักหนาสาหัสเนอะ ก็เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้มีใครเกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว การยอมรับหรือทำความเข้าใจอาจต้องใช้เวลา ในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จะมีอะไรบางอย่างให้เรียนรู้ 

สิ่งที่อาจบอกได้คือเป็นกำลังใจมากกว่า ขอให้การฟื้นฟูหลังจากนี้ผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรเสียหายไปมากกว่านี้ และเตรียมตัวสำหรับปีถัดไป ดังนั้นก็ขอเป็นกำลังใจมากกว่า ถ้าไม่โอเค ก็มาคุยกันได้

ณรภร: ช่วงนี้ใกล้ปีใหม่ เราก็คิดว่ามันเป็นเทศกาลที่มีความหมายต่อจิตใจค่อนข้างเยอะ เช่น การเลือกลืมสิ่งร้ายๆ ในช่วงปีใหม่ เพราะจะเข้าสู่ปีถัดไปแล้ว ถ้าเราอาศัยช่วงเวลา บรรยากาศของเทศกาลก็อาจจะพอช่วยได้ หรือ การให้ของขวัญตัวเองเล็กๆ น้อยๆ แก่ตัวเอง


บ้านวัยใส เป็นหน่วยบริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพใจ สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ทุกชั้นปี ทั้งระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก รวมถึงนักเรียนโครงการ วมว. โรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ 

บริการด้านสุขภาพใจประกอบด้วยการให้คำปรึกษาทั่วไป การทำจิตบำบัด ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์ประจำบ้านวัยใส และทำงานร่วมกับหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมถึง ภาควิชาจิตเวช คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์


เรื่อง: ธีรภัทร อรุณรัตน์
ภาพ: ภานิชา ปณัยเวธน์

หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘สื่อสันติภาพ (Peace Media)’ ภายใต้ความร่วมมือกับสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) และ  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

Loading

ชวนรู้จัก ‘โรคซึมเศร้า’ เพราะสุขภาพใจสำคัญ ไม่แพ้สุขภาพกาย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *