อาจารย์สุพัทธ์รดา เปล่งแสง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เขียนบทความเรื่อง ซื้อขายออนไลน์คือการซื้อขายในตลาดแบบตรง ผ่าน bangkokbiznews และได้ให้ความรู้เรื่องดังกล่าวผ่านรายการรู้กฎหมายง่ายนิดเดียว ทางคลื่น FM 88 MHz ว่า “หลายคนหันมาหาช่องทางเพิ่มรายได้ด้วยการขายของออนไลน์กันมากขึ้น แม้การแข่งขันจะสูง แต่ก็ถือว่าขายง่าย ลูกค้าเยอะ และเป็นอาชีพที่เหมาะกับสถานการณ์ในช่วงนี้มากที่สุด ปัจจุบันการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านระบบออนไลน์ได้รับความนิยมแบบก้าวกระโดด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาที่เกิดจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ก็มีมากขึ้นเช่นกัน เช่น ผู้ซื้อไม่ได้รับสินค้า ได้รับสินค้าล่าช้า หรือได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่ทำสัญญา ซึ่งผู้บริโภคน้อยรายที่จะทราบว่าการซื้อขายสินค้ารูปแบบดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของ “พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545” และ “พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560” “
การขายตรง (Direct Selling) คือ วิธีการจำหน่ายสินค้าหรือบริการรูปแบบหนึ่งที่ผู้ขายหรือเรียกว่าผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง นำสินค้าไปขายให้กับผู้ซื้อโดยตรงถึงบ้านหรือสถานที่อื่นที่มิใช่ร้านค้าปกติทั่วไป เช่น ธุรกิจขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริม Amway หรือเครื่องสำอาง Mistine
ส่วนตลาดแบบตรง (Direct Marketing) คือ การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูลผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต แอพลิเคชั่น แผ่นพับ เพื่อเสนอสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทาง และมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละรายตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการของผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ดังนั้น การทำตลาดโดยใช้สื่อในการนำเสนอ การขายสินค้าออนไลน์หรือธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) จึงเป็นการขายในตลาดแบบตรง เช่น การขายผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ
โดยผู้ที่จะทำการตลาดแบบตรงไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มิฉะนั้น จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ โดยขณะนี้ในระบบของ สคบ. มีผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงจำนวน 767 ราย
ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนฯ ต้องวางหลักประกันต่อนายทะเบียนเพื่อนำมาใช้ในกรณีเกิดความเสียหายแต่ผู้ประกอบธุรกิจไม่รับผิดชอบใด ๆ สคบ.ก็จะนำเงินหลักประกันส่วนนี้มาชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้บริโภคในเบื้องต้น โดยหลักประกันจะเป็นเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารก็ได้ และผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงต้องจัดทำเอกสารการซื้อขายสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้บริโภคด้วย
การคุ้มครองผู้บริโภคตามกฎหมายนี้คือ ให้สิทธิผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาโดยส่งหนังสือแสดงเจตนาภายในเวลา 7 วันนับแต่วันที่ได้รับสินค้าหรือบริการไปยังผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยควรบอกเลิกสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรทางอีเมลหรือไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ เพื่อให้มีหลักฐานว่าผู้ขายได้รับหนังสือเมื่อใดและให้เลือกดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ส่งคืนสินค้าไปยังผู้ขายหรือเก็บรักษาสินค้าไว้ตามสมควรภายในระยะเวลา 21 วัน นับแต่วันที่ใช้สิทธิเลิกสัญญา เมื่อผู้บริโภคใช้สิทธิเลิกสัญญา ผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงจะต้องคืนเงินเต็มจำนวนให้แก่ผู้บริโภคภายในเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแสดงเจตนาเลิกสัญญา และหากผู้ประกอบธุรกิจไม่คืนเงินตามจำนวนและภายในเวลาดังกล่าวก็จะต้องชำระเบี้ยปรับตามที่กฎหมายกำหนด
สิทธิในการบอกเลิกสัญญาและคืนสินค้าที่ซื้อทางออนไลน์นั้น สอดคล้องกับหลักสากลคือ สิทธิในการเลิกสัญญาเมื่อไม่พึงพอใจในสินค้าหรือบริการ ที่เรียกว่าหลัก Cooling Off Period แต่ผู้ซื้อต้องใช้สิทธิโดยสุจริต และขณะนี้ สคบ. เพิ่งรับฟังความคิดเห็น “ร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นสิทธิผู้บริโภคในการคืนสินค้า (Cooling Off Period)” ในสินค้าบางประเภทซึ่งต้องติดตามต่อไป
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงไว้หลายประการ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นที่ทำให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์บางกรณีไม่ต้องจดทะเบียนต่อ สคบ. เป็นผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ซึ่งเป็นไปตาม “กฎกระทรวง กำหนดการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง พ.ศ. 2561” ซึ่งได้แก่
- การขายสินค้าหรือบริการของบุคคลธรรมดา ซึ่งมิได้ทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไม่เกิน 1,800,000 บาท ต่อปี
- การขายสินค้าหรือบริการของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
- การขายสินค้าหรือบริการของวิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน
- การขายสินค้าหรือบริการของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์
ทั้งนี้ เนื่องจากภาครัฐต้องการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการรายย่อย ธุรกิจ SMEs ผู้จำหน่ายสินค้าวิสาหกิจชุมชน เช่น สินค้า OTOP รวมถึงกลุ่มสหกรณ์ต่าง ๆ
ประเด็นนี้อาจารย์สุพัทธ์รดา เปล่งแสง มีความเห็นว่า แม้กฎกระทรวงดังกล่าวจะมีขึ้นเพื่อสนับสนุนให้การค้าขายโดยผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กรายน้อยไม่ถูกจำกัดหรือเข้มงวดด้วยข้อกฎหมาย แต่ในอีกมุมหนึ่งเป็นการที่รัฐยกเลิกกฎหมายที่กำกับดูแลการคุ้มครองผู้บริโภคออกไปด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : อาจารย์สุพัทธ์รดา เปล่งแสง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์