“อาเซียนร่วมใจ อาเซียนเรามาร่วมใจ…” ตั้งแต่ราวทศวรรษก่อนเป็นท่วงทำนองเพลงคู่กับการประดับริ้วธงชาติประเทศสมาชิก สื่อถึงความพยายามเชื่อมโยงถึงกันของประชาคมอาเซียน ซึ่งก่อตั้งในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 (หรือ ค.ศ. 1967) นับถึงวันนี้เป็นเวลา 58 ปี
ด้วยสมาชิกผู้ก่อตั้ง 5 ประเทศคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ ไทย จากการลงนามปฏิญญากรุงเทพฯเป็นจุดเริ่มต้น ‘อาเซียน’ หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ซึ่งจะมีสมาชิกใหม่เป็นประเทศที่ 11 คือติมอร์-เลสเต ในเดือนตุลาคมนี้
ครบรอบ 58 ปี อาเซียน ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-มาเลเซียตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา จนถึง สถานการณ์ภายในภูมิภาค เช่น สงครามภายในประเทศพม่า พื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ จนถึงสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของสองมหาอำนาจโลกอย่าง สหรัฐอเมริกาและจีน
ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อคำถามของอนาคตของ ‘อาเซียน’ ว่าการรวมตัวของประเทศที่ทั้งมีวัฒนธรรม ทรัพยากร ผู้คนที่ยึดโยงกันทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์นี้จะเป็นอย่างไรต่อ
‘PSU Broadcast’ สรุปความเห็นจากนักวิชาการต่างประเทศ และนักวิชาการไทย รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิอาเซียน จากการปาฐกถาพิเศษ ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
บทบาทที่ถูกตั้งคำถามของอาเซียน
แบบสำรวจความเห็นต่อประชาคมอาเซียนในปี 2025 โดยสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิศฮัค (ISEAS – Yusof Ishak Institute) ประเทศสิงคโปร์ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คนที่ทำงานด้านวิชาการ ประชาสังคม หน่วยงานราชการ จนถึงภาคธุรกิจถึงความกังวลต่อ อาเซียนกับการรับมือสถานการณ์ของโลกและภูมิภาคในอนาคต
ผลคือ ร้อยละ 35 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุความกังวลต่ออาเซียนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือการทื่ “อาเซียนมีการตอบสนองต่อสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจที่ช้าและไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเริ่มมีบทบาทที่น้อยลง (irrelevant) ในระเบียบโลกใหม่” และรองลงมาที่ร้อยละ 29.8 คือความกังวลว่าประเทศอาเซียนจะเป็นพื้นที่ในการแข่งขันทางอำนาจของมหาอำนาจโลก
ความกังวลด้านการตอบสนองที่ช้าและไม่มีประสิทธิภาพของอาเซียน หากนำสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศสมาชิกอาเซียนมากางให้เห็นจะพบว่าข้อกังวลเหล่านี้สะท้อนกับภาพความจริงพอสมควร
ตั้งแต่สถานการณ์ทางการเมืองและการทหารในเมียนมาที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลา 4 ปีนับตั้งแต่การรัฐประหารใน พ.ศ.2564 สถานการณ์ข้อพิพาทด้านดินแดนในพื้นที่ทะเลจีนใต้ จนถึง สถานการณ์ความขัดแย้งและสูญเสีย ณ ชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา ซึ่งมีเชื้อไฟความขัดแย้งล่าสุดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งและการสู้รบในพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นความท้าทายล่าสุดในบทบาทของ อาเซียน เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์ กลไกตัวกลางพูดคุยเจรจา จนถึงบทบาทผู้สังเกตการณ์และควบคุมสถานการณ์ของทั้งสองประเทศไม่ให้บานปลาย
หนึ่งในความสำเร็จแรกของความขัดแย้งชุดนี้คือการเจรจาที่มี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเป็นผู้ประสานงานและตัวกลางในการเจรจา รวมถึงมีผู้แทนจากสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ร่วมสนับสนุนวงเจรจา (co-organized) และ ผู้แทนจากจีนในฐานะผู้เข้าร่วมอย่างแข็งขัน (active participants) ผลจากการเจรจาในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาคือมาตรการหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไข ตามมาด้วยวงเจรจาย่อยอื่นๆ
บทความจาก The Strait Times สื่อสิงคโปร์ระบุความเห็นจากผู้สังเกตการณ์และนักวิชาการในภูมิภาค ตั้งข้อสังเกตว่า แม้มาตรการหยุดยิงที่เกิดขึ้นนั้นจะถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของการแก้ไขปัญหาในภูมิภาคอาเซียน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดขึ้นจากบทบาทนำของผู้นำอย่างอันวาร์ และแรงกดดันจากภายนอก เช่น การเจรจาภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึง การวางตัวของมหาอำนาจอย่างประเทศจีน
โจทย์ที่ตามมาคือบทบาทและกลไกของอาเซียนในการรักษาสันติภาพของทั้งสองประเทศและในภูมิภาคระยะยาว และท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์ความเป็นไปของโลก
อาเซียนใน/ระหว่างสองมหาอำนาจโลก
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) กล่าวในปาฐกถาหัวข้อ “บทบาทอาเซียนในอีกสองทศวรรษ (ASEAN Global Positioning in the Next 2 Decades” ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา มองว่าสถานการณ์ระเบียบโลกในปัจจุบัน กำลังเคลื่อนตัวจากระเบียบโลกที่มีกลไก “ตลาดแบบทุนนิยมเสรี” เป็นตัวขับเคลื่อน เข้าสู่ “ความมั่นคง” ของแต่ละประเทศมาเป็นตัวขับเคลื่อนมากขึ้น

ข้อสังเกตนี้มาจากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่ 2 ซึ่งมีท่าทีปฏิเสธบทบาทองค์กรความร่วมมือต่างประเทศ สู่บทบาทที่เน้นการขับเคลื่อนระดับรัฐชาติเดี่ยวๆ มากขึ้น เช่น สงครามการค้า การตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากต่างประเทศ ผ่านแนวคิดการ “America First” หรือชาติสหรัฐต้องมาก่อน
นอกจากมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาแล้ว ประเทศจีนที่มีทั้งกำลังการผลิตและกลุ่มประชากรขนาดใหญ่เองก็วางบทบาทการต่างประเทศที่ขยายอิทธิพลไปยังประเทศอื่นมากขึ้น ทั้งนโยบายการพัฒนา Global Development Initiative หรือ GDI
“จากเดิมที่จีนเคยมีโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) และถูกวิจารณ์ด้านกับดักหนี้ ปัจจุบันจีนลบข้อครหาและขยายความเชื่อมโยงจากทวีปเป็นทั้งโลก” รศ.ดร.ปิติกล่าว
จนถึงนโยบายความมั่นคงซึ่งจีนวางบทบาทเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยสันติภาพในหลายพื้นที่ ทั้ง สงครามยูเครน-รัสเซีย จนถึง ความขัดแย้งไทย-กัมพูชารอบล่าสุด

แล้วอนาคตของอาเซียน (ซึ่งรวมถึงประเทศขนาดกลางอย่างไทย) จะเดินไปทางไหนต่อ?
รศ.ดร.ปิติ กล่าวว่าในสถานการณ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสของความร่วมมือของประเทศขนาดกลางและความร่วมมือภายในภูมิภาคอย่างอาเซียน ที่จะแสวงหาพันธมิตรและมีส่วนร่วมกับกลไกระหว่างประเทศได้มากขึ้น
“หากประเทศไทยใช้เวทีอาเซียนเล่นบทบาทนำเพื่อนำเสนอแนวคิดการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ แสวงหาประเทศพันธมิตร ร่วมสร้างระเบียบโลก และเป็นมากกว่าผู้เล่นในระเบียบโลกเฉยๆ ได้” ผู้อำนวยการมูลนิธิอาเซียนกล่าว
เรื่อง: ธีรภัทร อรุณรัตน์