เพราะการ “เดินเท้า” เป็นวิถีที่ “ช้า” ที่สุดของรูปแบบการเดินทางในชีวิตประจำวัน และ “ความช้า” นี้เองก็ทำให้การเดินเท้าเป็นวิธีดีที่สุดของการสัมผัสสถานที่ของเมือง ผู้คน และเรื่องราวที่ทั้งเฉิดฉายและซุกซ่อนอยู่ข้างใน รอให้ค้นพบใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าได้ไม่รู้จบ
โครงการเดินเท้าท่องเมือง – Walking Collective จึงขอเสนอ 9 สถานที่จากผู้เข้าร่วมโครงการ ‘ผู้นำเดินเท้าท่องเมือง’ #1 รวมเป็นเส้นทาง “HATYAI REDISCOVER” ที่รอให้ค้นหาเปิดมุมมองเรื่องราวของเมือง เส้นทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนความเชื่อมโยงของเมืองเล็กๆ แห่งนี้เข้ากับประวัติศาสตร์โลก การพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจของไทย
อ่านเสร็จ เตรียมออกไปเดินกันได้เลย!
-1-
“สายน้ำเตย” พื้นที่โรแมนติกกลางเมืองหาดใหญ่

แนะนำโดย แก๊ส ศุภวรรณ และ ปาล์ม วิศรุต
“คลองเตย” เป็นหนึ่งในเส้นทางน้ำที่ผ่านกลางเมืองหาดใหญ่ ตลอดระยะทางราว 11 กิโลเมตร บางจุดมีการปิดหน้าคลองเพื่อปกปิดส่วนไม่น่าดูที่ยากต่อการจัดการ ปรับใช้เป็นพื้นที่สันทนาการ บ้างก็มีสวนหย่อมริมคลองเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เป็นสาธารณะ
สำหรับคลองเตยบริเวณที่ตัดกับถนนประชาธิปัตย์ หลังโรงเรียนแสงทองวิทยานี้ ฟังจากคำบอกเล่าคนในพื้นที่ ทราบว่าในช่วงปี พ.ศ. 2548-2553 มีความตั้งใจจะพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ช่วงสร้างสะพานเสร็จใหม่เป็นไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกับสะพานเป็นจำนวนมาก จึงอยากชวนกันย้อนรอยประวัติศาสตร์ของการพัฒนา ด้วยการเดินข้ามสะพานนี้และยืนเรียงแถวกันถ่ายรูปบริเวณสะพาน ให้เหมือนกับที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น

หลังจากลงสะพานแล้ว ชวนสัมผัสความร่มรื่นใต้ลานนนทรี ต้นไม้บริเวณนี้ปลูกในช่วงเวลาเดียวกับโครงการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำ
บริเวณนี้มีร้านเด็ดของหาดใหญ่คือ ร้านขนมจีนป้าชื่น ‘พี่เนตร’ ทายาทรุ่นที่สองของ ‘ป้าชื่น’ เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนสะพานนี้เป็นสะพานไม้ เด็กๆจะเดินข้ามสะพานไม้นี้ไปโรงเรียนสุภาวิทย์ (หรือศุภวิทย์) ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนสุวรรณวงศ์
ในอดีตมีคนใช้ประโยชน์จากสายน้ำนี้ ทั้งจากเก็บผักบุ้งไปทำกับข้าว ปลูกผักกะเฉดในน้ำเพื่อเก็บไปขาย และบริเวณรอบๆยังปลูกผักจีนอย่าง คะน้า กวางตุ้ง เป็นต้น ที่สำคัญอีกอย่างคือ สายน้ำตรงนี้เคยมีผู้คนมาจับปลาด้วยการยกยอ และตกปลา ได้ทั้งปลาหมอ ปลาช่อน และปลาสลิด
จากสายน้ำแห่งการท่องเที่ยว สู่ คลองระบายน้ำเสีย
แนวทางการพัฒนาในช่วงดังกล่าวต้องการสร้างให้เป็นสายน้ำแห่งการท่องเที่ยว สะพานโค้งและสูงเป็นพิเศษนี้ ก็เพื่อให้เรือสำหรับนักท่องเที่ยวลอดผ่านได้ พร้อมพื้นที่โดยรอบก็มีแผนจะให้ตลาดโก้งโค้งย้ายมาขายรอบคลอง แต่ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงจนสายน้ำกลายเป็นคลองระบายน้ำ (เสีย)

ปัจจุบันนี้แม้สภาพภายนอกอาจดูทรุดโทรม แต่ยังเป็นพื้นที่ร่มรื่น คนมาใช้ประโยชน์อย่างพี่ๆ ไรเดอร์ ที่มานั่งพักแถวลานนนทรี คนที่อาศัยโดยรอบ ก็มาเดินเล่น พาคุณแม่นั่งวีลแชร์ มาออกกำลังกาย นั่งทานข้าว เด็กๆ มาตกปลา
ที่สำคัญช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม จะเป็นช่วงที่ดอกหางนกยูงฝรั่งออกช่อเต็มต้น ก็จะเป็นช่วงที่คนมาถ่ายรูปกันเยอะ โดยเฉพาะพรีเวดดิ้ง
ในแง่ของธุรกิจและสถานประกอบการในส่วนนี้ก็มักเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน เช่น โรงเรียน โรงเรียนสอนดนตรี ศิลปะ และคลินิกเด็ก จึงมีผู้ปกครองมาจอดรถรอเด็กๆในย่านนี้ด้วย จึงมองเห็นแนวทางการพัฒนาพื้นที่ให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายในปัจจุบัน
ชวนคนหาดใหญ่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิด #สายน้ำเตยพื้นที่โรแมนติกใจกลางเมืองหาดใหญ่
-2-
“ตลาดโก้งโค้ง”

แนะนำ โดย หญิง ชฎาพร
ตลาดโก้งโค้ง ชื่อนี้ได้มาจากการที่ผู้จับจ่ายต่างต้องมายืน “โก้งโค้ง” ซื้อสินค้า เมื่อ60กว่าปีก่อน พ่อค้าแม่ค้าจะปูเสื่อวางขายสินค้าบนพื้นให้ได้เลือกหาจับจ่าย
ตลาดแห่งนี้วางขายบนถนนประชาธิปัตย์ 2 ซึ่งมีป้ายกำกับจุดผ่อนผันตั้งแต่เวลา 05.00-11.00 น.
การดูแลตลาด เป็นการจัดการกันโดยผู้ค้า ในอัตราต่อวันคือค่าแผง 50บาทและ ค่าเก็บขยะ15บาท ซึ่งรายได้ส่วนนี้นำมาดูแลความสะอาดของตลาด
สินค้าที่มีขายในตลาดมีทั้งอาหารปรุงสุก ของสด วัตถุดิบต่างๆ รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือน ความหลากหลายของอาหาร จะพบทั้งอาหารภาคเหนือ อีสาน ใต้ จีน มุสลิม
ข้ามคลองเตยไปยังฝั่งรั้วโรงเรียนแสงทองบริเวณสวนหย่อมชลธารา หากลองกวาดสายตาจะเห็น “เข็มทิศเมือง” หันหน้าไปทางทิศเหนือผ่านตลาดฯ จะสามารถมองเห็นเจดีย์ของวัดปากน้ำได้ และหากใครได้อ่านบทความนี้ ก็อยากชวนไปเดินตลาดโก้งโค้งหาของกินอร่อยๆ กัน
-3-
โรงเรียนจีนแห่งแรกของหาดใหญ่ “ศรีนคร”

แนะนำโดย มะเหมี่ยว ดวงกมล
จากตลาดโก้งโค้งเดินเลียบคลองบริเวณสวนหย่อมชลธารา เมื่ออกจากสวนหย่อมมาแล้ว ด้านซ้ายจะพบโรงเรียนศรีนครมูลนิธิ เป็นโรงเรียนจีนแห่งแรกของหาดใหญ่ เปิดสอนครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467 บนที่ดินของคหบดีชาวจีนนามว่า ‘‘ซีกิมหยง’’ ซึ่งอุทิศที่ดินให้สร้างโรงเรียน
ซีกิมหยงได้ซื้อที่ดินไว้เป็นจำนวนมากโดยร่วมมือกับ ขุนนิพัทธ์จีนนคร (เจียกีซี) และคุณพระเสน่หามนตรี เพื่อพัฒนาที่ดินเมืองหาดใหญ่ โดยมอบที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนแสงทอง ซึ่งอยู่เยื้องกับโรงเรียนศรีนคร มูลนิธิซุนยัดเซ็น และโรงเรียนศรีนครมูลนิธิแห่งนี้ด้วย

โรงเรียนศรีนครแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “ระบบสวัสดิการโดยภาคประชาชน” หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ราษฎร์สวัสดิการ’ ตั้งแต่ยุคสร้างเมือง มีจุดมุ่งหมายคือจัดสรรที่ดินเพื่อสร้างสถานที่ต่างๆ เป็นสวัสดิการให้ชาวจีนที่มาอาศัยในพื้นที่หาดใหญ่ในทุกช่วงอายุ ซึ่งสะท้อนผ่านสถานที่ในเมืองหาดใหญ่
เริ่มตั้งแต่เกิดมีโรงพยาบาลมิชชัน (เคยตั้งอยู่บริเวณตึกแยกธนาคารออมสิน ถนนนิพัทธ์อุทิศ 1 ปัจจุบันถือครองโดยบริษัทยิบอินซอย) → ลูกหลานมีที่เรียน (โรงเรียนศรีนคร) ป่วยไข้มีสถานรักษาพยาบาล (โรงพยาบาลมิชชันเช่นเดียวกัน) เมื่อแก่ตัวชราลง ก็มีมูลนิธิดูแล (มูลนิธิจังฮั่วสงเคราะห์คนชราอนาถา) และเมื่อเสียชีวิตก็มีสุสานฝังศพตามประเพณี (สุสานบ้านพรุ)

-4-
ก๋วยเตี๋ยวแคะ: จากผู้มาเยือนสู่ผู้ร่วมสร้างเมืองหาดใหญ่

แนะนำโดย แหม่ม สิริมนต์
ก๋วยเตี๋ยวแคะ
ในภาษาจีนฮากกาหรือจีนแคะ เรียกว่า “ปันเถี่ยว” เป็นอาหารประเภทเส้น ทำจากแป้งข้าวเจ้าเช่นเดียวกับก๋วยเตี๋ยวที่เรารู้จักกันแต่จะต่างกันที่สูตรการปรุง โดยจะมีวัตถุดิบสำคัญ ได้แก่ เต้าหู้ยัดไส้หมูสับ หรือ “ย้องแถ้วฟู่” (酿豆腐) และ “ลูกชิ้นแคะ” ซึ่งทำจากเนื้อหมูผสมเนื้อปลา หมึกแห้ง แป้งมัน อาจจะมีเนื้อกุ้ง หัวไชเท้า เผือก ผสมอยู่ด้วยตามสูตรของแต่ละร้านหรือครัวเรือน
ลักษณะของลูกขิ้นแคะ จะเป็นก้อนผิวขรุขระ ไม่ได้เรียบกลมเหมือนลูกชิ้นชนิดอื่น สำหรับส่วนผสมของลูกชิ้นนี้มักจะเอาไปยัดไส้ในเต้าหู้ด้วย บางแห่งนำเอามะระ พริกหวาน มายัดไส้เช่นกัน

เมืองหาดใหญ่เมื่อคนจีนแคะเข้ามาอยู่รวมตัวกันเป็นจำนวนมากก็จะนำเอาวัฒนธรรมอาหารการกินของตัวเองเข้ามาด้วย โดยเฉพาะในย่านศรีนคร ย่านชีกิมหยง จะมีก๋วยเตี๋ยวแคะอยู่หลายร้าน หนึ่งในร้านที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเนื่องจากเปิดมาเป็นระยะเวลานานกว่า 64 ปี ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ปัจจุบันเป็นรุ่นลูก คือ ร้านส่างหยุ่น
นอกจากจะมีก๋วยเตี๋ยวแคะแล้ว ยังมีอีกเมนูอาหารของขาวจีนแคะที่อยากแนะนำให้ลิ้มลอง คือ “เค้วหยุก” หรือที่คุ้นเคยกันในภาษากวางตุ้งว่า “เคาหยก” มีส่วนผสมสำคัญ ได้แก่ หมูสามชั้น และผักห่อมช้อยกอนหรือหม่อยช้อย
สำหรับ “ย้องแถ้วฟู่” เป็นที่มาของชื่อ “เย็นตาโฟ” แต่ส่วนผสมและวิธีการปรุงจะแตกต่างออกไป

ทำไมต้อง “แคะ”?
คำว่า แคะ มาจากการที่คนแต้จิ๋วจะเรียกคนฮากกาว่า “แขะแก”ซึ่ง ในภาษาแต้จิ๋วแปลว่า แขกผู้มาเยือน เนื่องจากถือว่าชาวฮากกาเป็นผู้ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนของตน และเรียก ปันเถี่ยว ของคนฮากกาว่า “แคะก๋วยเตี๋ยว”
สำหรับคนฮากกาเองจะเรียกตัวเองว่า “ฮากกาหงิ่น”
คนจีนในหาดใหญ่
นอกจากคนฮากกาหรือคนแคะแล้ว คนจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในหาดใหญ่ยังมีชาวแต้จิ๋ว ไหหลำ ฮกเกี้ยน และกวางตุ้ง เกิดวัฒนธรรมหลายอย่าง เพราะกลุ่มชาวจีนที่อพยพมาใหม่จะรวมตัวกันตามกลุ่มที่มาจากเมืองเดียวกัน หรือพูดภาษาสำเนียงเดียวกัน เพื่อช่วยเหลือกันทั้งการกินการอยู่สร้างวัฒนธรรมของกลุ่มตัวเองขึ้นมา นอกจากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในรูปของอาหารที่มีหลากหลายประเภทตามกลุ่มชนและมีชื่อเสียงให้คนต่างถิ่นอยากมาลิ้มลองแล้ว ยังมีศาลเจ้า และสมาคมต่าง ๆ อยู่ในเมืองเป็นจำนวนมากเพื่อใช้เป็นสถานที่รวมตัวทำกิจกรรมของแต่ละกลุ่มอีกด้วย เช่น สมาคมฮากกาหาดใหญ่ สมาคมไหหลำแห่งภาคใต้
นับเป็นความแตกต่างหลากหลาย แต่สามารถมาอยู่รวมกันกับคนในพื้นที่และร่วมสร้างความเจริญให้กับเมืองหาดใหญ่ได้อย่างมากมาย
-5-
วัดกวนอิม กิ้วซื่ออัม

แนะนำโดย มังกร อลงกรณ์
วัดแห่งนี้มีกำแพงค่อนข้างสูง และมักปิดประตูใหญ่ไว้เสมอเว้นแต่เมื่อวัดมีงาน ทำให้ผู้คนมีความเข้าใจว่าวัดแห่งนี้ไม่ได้เปิดให้เข้า แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถเข้ามาได้โดยเปิดประตูเล็กและกล่าวขออนุญาตผู้ดูแลสถานที่ตามธรรมเนียม

สำหรับเมืองหาดใหญ่แล้ววัดแห่งนี้สนับสนุนเมืองใน 2 ด้าน กล่าวคือ ด้านแรก ด้านวัฒนธรรม วัดแห่งนี้มีนักบวชหญิงประจำวัดซึ่งหากมีพิธีกงเต๊กสามารถจะติดต่อให้ไปประกอบพิธีกรรมได้ รวมทั้งยังมีบริการตัดชุดสำหรับผู้วายชนม์ในแบบวัฒนธรรมของจีน ลูกหลานชาวจีนในหาดใหญ่หลายคนมีประสบการณ์กับวัดแห่งนี้
การสนับสนุนเมืองหาดใหญ่ด้านที่ 2 คือด้านสังคมสงเคราะห์ มีการอุปการะเด็กหญิงให้มีที่อยู่อาศัย ให้การศึกษา และปลูกฝังทางด้านศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมไปพร้อมกัน
ที่เลือกวัดนี้เพราะว่าตอนเรียนชั้นประถมศึกษา โรงเรียนศรีนครเคยมีเพื่อน 2 คนที่มาจากวัดนี้
-6-
หาดใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกที่ หอสมุดซุนยัดเซน

แนะนำโดย อ้อมใจ จุฑารัตน์
ในช่วงปี ค.ศ.1949 หลังสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคก๊กมินตั๋งจบลงด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ยึดจีนแผ่นดินใหญ่สำเร็จ พรรคก๊กมินตั๋งได้ปลุกกระแสชาตินิยมจีน และชาวจีนในหาดใหญ่ได้รวบรวมเงินสร้างหอประชุมแห่งนี้เพื่อเป็นศูนย์รวมชุมชนจีน ให้เยาวชนได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรม รวมถึงเป็นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสังคมและการเมือง
เมื่อ 50-60 ปีก่อน หอสมุดซุนยัดเซนแห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนภาษาจีน และจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น เรียนภาษาจีนกลางและกวางตุ้ง ร้องเพลงจีน ศิลปะจีน เช่น ตัดกระดาษ ปักผ้า งานเฉลิมฉลอง เช่น วันชาติจีน งานแต่งงาน

ก่อนหน้าสถานการณ์โควิด-19 หอประชุมแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของผู้สูงอายุชาวจีน ที่มาร้องเพลงคาราโอเกะกัน ที่นี่เคยได้รับการสนับสนุนจากไต้หวันให้จัดกิจกรรมวัฒนธรรมจีนทุกปี แต่หลังจากโควิด หอประชุมก็ถูกปิดตัวลง จนปัจจุบัน
หอซุนยัดเซ็นนี้เป็นอาคารที่สวยงามสะท้อนวัตถุประสงค์และเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวของชุมชนชาวจีนในหาดใหญ่ตั้งแต่สมัยกว่า 80 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน
ไม่น่าจะเกินไปหากจะกล่าวว่า หอซุนยัดเซ็นแห่งนี้เป็นสถานที่เชิงประวัติศาสตร์แห่งเดียวที่เหลืออยู่ ที่ยังคงบอกเล่าบทบาทของหาดใหญ่โดยยึดโยงกับโลกในยุคสมัยนั้น



-7-
ร้านก๋วยเตี๋ยวถนัดศรี สาย3: เส้นก๋วยเตี๋ยวคู่เส้นทางรถไฟ

แนะนำโดย จิ๊บ อลงกรณ์
เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวในตำนานที่ไม่มีชื่อร้านตั้งแต่แรก เป็นเพียงร้านหาบเร่ ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอด จนเป็นร้านตำนานก๋วยเตี๋ยว นี่คือหนึ่งผลผลิตของการจัดตั้งสถานีรถไฟหาดใหญ่ และความเจริญของเมืองในช่วงเวลานั้น ทำให้เกิดกิจการร้านค้า ร้านอาหาร การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คน ร้านก๋วยเตี่ยวร้านนี้จึงเกิดขึ้น จนสร้างชื่อเสียงไปด้วย
จากร้านหาบเร่ ในความตั้งใจแรกของ “อากุงทู้จืออี๊” ต้องการขายเพียงลูกชิ้นเท่านั้น โดยเป็นลูกชิ้นเนื้อย่างบนเตาถ่าน แต่ต่อมาพัฒนาด้วยการนำลูกชิ้นเนื้อมาเป็นส่วนหนึ่งของก๋วยเตี๋ยว พัฒนาจากร้านหาบเร่ มาเป็นร้านค้าใต้โรงแรมเค่งฮั่วอัน (ปัจจุบันคือโรงแรมแหลมทอง) ด้วยความที่หาดใหญ่เป็นชุมทางรถไฟสำคัญ และเมืองสำคัญที่สุดในภาคใต้ ณ ขณะนั้นทำให้ มีบุคคลมีชื่อเสียงจำนวนมากแวะลงมาท่องเที่ยว ทำธุระ หนึ่งในนั้นคือ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ที่แวะมาทานประจำเมื่อมาหาดใหญ่ ด้วยความที่เป็นนักชิมคนสำคัญของประเทศไทยในสมัยนั้น พร้อมกับเป็นคอลัมนิสต์ นามปากกา “ถนัดศอ” เขียนคอลัมน์ “เชลล์ชวนชิม” ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ และได้นำความอร่อยไปบอกเล่าในคอลัมน์ ทำให้ผู้อ่านรู้จักร้านนี้มากขึ้น คนจำนวนมากจึงเรียกร้านนี้ว่า “ร้านถนัดศรี” ทางร้านจึงขออนุญาต ม.ร.ว.ถนัดศรี ขอใช้ชื่อจริง เป็นชื่อของร้าน ซึ่งท่านก็อนุญาต และตามมาอุดหนุนตลอด เมื่อเดินทางมาหาดใหญ่

จากร้านที่ไม่มีชื่อร้าน กลายเป็นร้านที่มีชื่อร้าน และทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เพราะ ม.ร.ว.ถนัดศรี จัดว่าเป็นบุคคลนักแสดง นักร้อง นักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น การใช้ชื่อถนัดศรีเป็นชื่อร้านด้วย ยิ่งทำให้เป็นการการันตีถึงความอร่อย และเป็นการสร้างแบรนด์จากชื่อบุคคลมีชื่อเสียงทางสังคม คนในพื้นที่ และผู้มาเยี่ยมเยือน ถ้าหากเป็นแฟนคลับผู้ติดตาม ม.ร.ว.ถนัดศรี จะไม่พลาดมาอุดหนุนร้านถนัดศรี เมื่อมาที่หาดใหญ่เสมอ
การเติบโตของ “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นถนัดศรี” ในรุ่นที่ 2 “เจ๊ผิ่น” ลูกสาวคนเดียวของ “อากุงทู้จืออี๊”ที่มาช่วยงานทางบ้าน จดจำสูตรและกรรมวิธีการทำต่างๆ เมื่ออากุงวางมือ ต่อมาก็ได้แยกมาเปิดร้าน และในรุ่นที่ 3 มีการนำคุณค่าของความเป็น “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นถนัดศรี” มาต่อยอดพัฒนาสูตร และมอบประสบการณ์ใหม่ๆ กับลูกค้า ด้วยการแก้ไขแบรนด์ใหม่เป็น “ถนัดศรี (since 1969)”
จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวถนัดศรี นอกจากตำนานที่มาของชื่อร้าน จะอยู่ที่ความอร่อยของลูกชิ้นเนื้อ ที่เด้งได้ มีความนุ่มพร้อมกับกรอบอร่อย แตกต่างจากลูกชิ้นที่อื่น น้ำซุบที่นำลูกชิ้นไปต้ม ทำให้น้ำซุบมีกลิ่นหอมจากลูกชิ้น เมื่อนำลูกชิ้นเนื้อมาตักเสิร์ฟคู่กับก๋วยเตี๋ยว จึงเป็นก๋วยเตี๋ยวที่ชวนต้องมาชิมให้ได้ ปัจจุบันร้านก๋วยเตี่ยวลูกชิ้นถนัดศรีมีหลายสาขา ซึ่งเป็นธุรกิจที่แยกกันทำตามครอบครัวของทายาท อากุงทูจืออี๊ เป็นธุรกิจของหลายๆ ครอบครัวที่แยกไปเติบโต แต่ยังคงสูตรความอร่อย และตำนานไว้ให้แตกแขนงออกไปเหมือนต้นไม้ที่มีหลายๆ ก้านกิ่ง แต่ทุกกิ่งก้านล้วน เติบโตจากจากลำต้นเดียวกัน
ก๋วยเตี๋ยวถนัดศรี สะท้อนถึงวิถีชีวิตคนหาดใหญ่ดั้งเดิม ที่ผูกพันการกินก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหาร วัตถุดิบต่างๆ เช่น น้ำปลา น้ำตาล ซีอิ๊ว เส้นก๋วยเตี่ยว ล้วนผลิตจากในพื้นที่ทั้งสิ้น คุณค่าของก๋วยเตี๋ยวจึงไม่ได้มีแค่ เส้น วัตถุดิบ ความอร่อยของมื้ออาหาร แต่เป็นการบอกเล่าถึงคุณค่าเมืองหาดใหญ่ ผ่านเรื่องราวร้านถนัดศรี ร้านก๋วยเตี๋ยวมีชีวิตที่อยู่คู่ตำนานการสร้างเมืองหาดใหญ่ ในยุคหลังจัดตั้งสถานีรถไฟหาดใหญ่
นี่คือสิ่งยืนยันว่า การพัฒนาระบบขนส่งทางราง ทางรถไฟ นำพาความเจริญสู่พื้นที่ กิจการร้านค้าเพิ่มขึ้น วิถีชีวิตผู้คนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางเข้าออกเมือง ร้านถนัดศรีจึงเป็นอีกผลผลิตหนึ่งของการพัฒนาเมืองด้วยระบบรถไฟ
-8-
ห้างโอเดียน สวนหน้าบ้านสู่ห้างสรรพสินค้าคู่เมือง

แนะนำโดย พินอิน ข้าวสวย ยูฟ่า
เดิมทีตรงนี้เคยเป็นแค่ “สวนหน้าบ้าน” ของ คุณพระเสน่หามนตรี นายอำเภอคนแรกของหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่โล่ง แต่พอเวลาผ่านไป เจ้าของก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น อาคารพาณิชย์ 2 ชั้น โดยผู้เช่าจำนวน 10 ราย เปิดร้านอาหารและแบ่งพื้นที่ให้เช่าขายของกัน ต่อมามีความเห็นร่วมกันว่าควรเปิดเป็นห้างสรรพสินค้า และเพราะด้านหน้ามีโรงหนังชื่อ “โอเดียน” อยู่แล้ว จึงตั้งชื่อห้างตามไปด้วย เป็นที่มาของ “ห้างโอเดียน” นั่นเอง
จากอาคารเล็กๆ สู่ห้างที่เติบโตขึ้นตามลำดับ หลังจากเปิดห้างแล้ว ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะผู้ก่อตั้งอยากให้ที่นี่ เป็นห้างสมัยใหม่ คล้ายกับที่กรุงเทพฯ จึงมีการเพิ่มทุน ตั้งคณะกรรมการมาบริหาร และขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆ ด้วยการขยายตัวอีกขั้น
พอธุรกิจไปได้สวย ก็เริ่ม ขยายพื้นที่ เช่าที่โรงแรม หอฟ้า และอาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้ามมาสร้างห้างใหม่ ส่วนอาคารเก่าที่คนเริ่มน้อยลง ก็ถูกปรับให้เป็น ศูนย์สินค้าลดราคา (Discount Store)

ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง พ.ศ. 2540
เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ปี 2540 ทำให้ การท่องเที่ยวในหาดใหญ่ซบเซาลง คนมาจับจ่ายใช้สอยน้อยลง โอเดียนเองก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
และนี่คือเรื่องราวของห้างโอเดียนที่เริ่มจากสวนหน้าบ้าน จนกลายเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่เป็นตำนาน ผ่านทั้งช่วงรุ่งเรืองและช่วงยากลำบากพร้อมกับเมืองและยังคงดำเนินกิจการอยู่จนปัจจุบัน
-9-
สมาคมไหหลำ: พื้นที่ศรัทธาชาวจีนโพ้นทะเล

แนะนำโดย กุ๊กไก่ นันทวรรณ
ศาลเจ้า สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวจีนโพ้นทะเล
หลังจากประเทศจีนได้เผชิญกับสงครามฝิ่น ทำให้ภายในประเทศเกิดสภาวะข้าวยากหมากแพง รวมถึงต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานจากประเทศเจ้าอาณานิคมทั้งหลาย ทำให้ชาวจีนจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แถบชายทะเลยอมเสี่ยงชีวิตขึ้นเรือสำเภาอพยพสู่ดินแดนที่เรียกว่าหนานหยาง (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ที่เล่าลือกันว่าอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรนานาชนิด เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า ตามแต่กระแสน้ำจะพาไป เมื่อจำเป็นต้องห่างบ้านเกิดเมืองนอนมาไกล สิ่งที่เป็นกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตนอกจากสิ่งแทนใจของคนในครอบครัวแล้วก็คงจะต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธฺ์ที่ตนนับถือ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าชาวจีนจะไปตั้งรกรากที่ใดก็จะมีศาลเจ้าขององค์เทพต่างๆเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนชาวจีนนั้น ๆ
แรกเริ่มเดิมที ในช่วงที่ชาวจีนโพ้นทะเลได้เริ่มเข้ามาทำมาหากินในเมืองหาดใหญ่โดยการบุกเบิกทางรถไฟตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2450 ซึ่งปีพ.ศ. 2458 เป็นช่วงที่เส้นทางรถไฟสายใต้พาดผ่านหาดใหญ่
ชาวจีนที่เดินทางเข้ามา มาจากหลายมณฑลด้วยกัน มักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนตามภูมิลำเนาเดิมเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันเนื่องจากไม่สามารถสื่อสารกับคนท้องถิ่นได้ ต้องพึ่งพาผู้ที่อยู่ก่อนในการสื่อสารและหางาน ซึ่งชาวไหหลำรุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาเพื่อเป็นแรงงานสร้างทางรถไฟนั้นภายหลังก็ได้แยกย้ายกันไปทำเหมืองแร่ และขยับขยายไปเรียนรู้การหลอมแร่และทำทอง จนกระทั้งในปัจจุบันกิจการร้านทองดั้งเดิมในเมืองหาดใหญ่ส่วนใหญ่ก็จะมีเจ้าของเป็นชาวไหหลำ
แต่ในช่วงอดีตนั้นช่วงที่แนวคิดคอมมิวนิสต์กำลังแพร่หลายในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ส่งผลให้รัฐบาลไทยได้มีการจับตามองการรวมตัวกันของชาวจีนโพ้นทะเลเป็นพิเศษ ดังนั้นศาลเจ้าจึงเป็นทั้งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และที่รวมตัวกันของชาวจีนถิ่นต่างๆ ศาลเจ้าแม่ทับทิมถือว่าเป็นหนึ่งในที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไหหลำในหาดใหญ่ด้วยเช่นกัน
ซึ่งภายหลังในปีพ.ศ. 2518 สถานการณ์ทางการเมืองได้ผ่อนคลายลง ชาวจีนในหาดใหญ่ ได้มีการรวมตัวกันจัดตั้งสมาคมหลัก 5 สมาคมได้แก่ สมาคมแต้จิ๋ว สมาคมฮากกา สมาคมฮกเกี้ยน สมาคมกว่องสิว (กวางตุ้ง) และสมาคมไหหลำ ซึ่งได้มีการสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้

องค์เทพประจำศาล
เจ้าแม่ทับทิม (水尾圣娘) องค์เทพที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไหลำ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ประทานพรด้านการค้าขายและการศึกษา หรือแม้แต่การขอบุตร โดยเชื่อว่าไม่ว่าผู้ใดถ้าตั้งใจมาขอพรล้วนแล้วแต่สมปรารถนาทั้งสิ้น
เจ้าแม่เทพเทวี (天后圣母,妈祖) หมาโจ้ว องค์เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ที่คุ้มครองผู้ที่เดินทางและทำมาหากินในทะเล รวมถึงชาวจีนโพ้นทะเลทั้งหลายด้วย
วีรชน 108 พี่น้อง ตัวแทนของผู้ที่เสียสละ ยอมเสี่ยงตาย เพื่อสานฝันในการอยู่ดีกินดีของทกคนในครอบครัว โดยการออกทะเลเพื่อเสี่ยงโชคในต่างแดน แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ต้องนำชีวิตมาทิ้งไว้กลางทาง
บรรณาธิการ: ธีรภัทร อรุณรัตน์ และ บัญชร วิเชียรศรี