หลังสภาผู้แทนราษฎรลงมติ 311 ต่อ 144 เสียงเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย พรรคการเมืองที่นั่งลำดับ 3 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในวันที่ 5 กันยายน 2568
ปรากฎการณ์ทางการเมืองภาพใหญ่ มี 2 ข้อสังเกตสำคัญ คือ หนึ่ง เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นรัฐบาลที่สองของประวัติศาสตร์การเมืองไทย และ สอง พรรคประชาชน (จากพรรคก้าวไกล) ที่ชนะเลือกตั้ง มีที่นั่งในสภาฯ มากที่สุดโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ไม่เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี
อีกปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในการเมืองภาคใต้ คือ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 4 เสียงในภาคใต้ยกมือสนับสนุนนายอนุทิน ขัดมติพรรคให้งดออกเสียง สร้างความระส่ำระสายภายในอดีตพรรคประจำภาคใต้อีกครั้ง
แนวโน้มและทิศทางนโยบายทางการเมืองของรัฐบาลเสียงข้างน้อย “สีน้ำเงิน” นี้จะเป็นอย่างไร รวมถึงการเมืองภาคใต้ในอนาคตจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร? ‘PSU Broadcast’ สนทนากับ รศ.ดร.บูฆอรี ยีหมะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาเพื่อชวนวิเคราะห์สถานการณ์ และชวนมองสถานการณ์ภาพรวมต่อปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น

เส้นแบ่งทางอุดมการณ์? ข้อสังเกตพรรคประชาชนโหวตนายกฯ แต่ไม่ร่วมรัฐบาล
หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณี “คลิปเสียงกับสมเด็จฮุนเซ็น” ให้อดีตนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตรพ้นจากตำแหน่งและเป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎรต้องเลือกนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อขึ้นมาใหม่นั้น เกิดปรากฎการณ์ที่น่าสนใจในเชิงการเมือง 2 ข้อสำคัญ คือ
กรณีที่พรรคประชาชนในฐานะพรรคการเมืองที่มีเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มากที่สุดในสภา (143 เสียง) โหวตให้พรรคที่ได้เสียงอันดับ 3 คือพรรคภูมิใจไทย (68 เสียง) ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคประชาชนเลือกเป็นฝ่ายค้าน เกิดเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย (minority government) คล้ายกับกรณีของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชปี พ.ศ. 2518 ในช่วงระยะสั้น


ต่อปรากฎการณ์นี้ รศ.ดร.บูฆอรีมองว่าหากพิจารณาตั้งแต่การเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 การก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ต่อเนื่องเป็นพรรคก้าวไกล และ พรรคประชาชนในปัจจุบัน มีการแสดงจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเสรีนิยม แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นในอดีต ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่เข้าร่วมรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี
“พรรคการเมืองไทยมักจะมีพรรคแบบเหมาหมด คือ ไม่มีฐานเสียงเฉพาะกลุ่ม ขอให้ชนะเลือกตั้ง ภาษาวิชาการคือ ‘Catch-all Party’ หวังจะชนะเลือกตั้งและไม่มีความชัดเจนทางอุดมการณ์ แต่ช่วงการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา (ปี พ.ศ. 2562 และ พ.ศ. 2566) พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน มีอุดมการณ์ทางการเมืองค่อนข้างชัด ทำให้พรรคนี้ยากที่จะรวมกับพรรคการเมืองอื่น” นักวิชาการในพื้นที่ภาคใต้ตั้งข้อสังเกต
รัฐบาลเสียงข้างน้อย: แก้รัฐธรรมนูญ “ประชานิยม” แก้เศรษฐกิจระยะสั้น
เงื่อนไขในการโหวตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาชน คือ การยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือนหลังรัฐบาลชุดใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา และ สอง จัดทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง เพื่อไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกนำมาหยิบยกขึ้นอีกครั้ง
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลามองว่า ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคประชาชนตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่มองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเชื่อมโยงถึงประเด็นทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ที่มาของการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งมีข้อกล่าวหาในปัจจุบัน นั้นมีความจำเป็น แต่แนวคิดจากผู้ที่ไม่ได้สนับสนุนแนวทางของพรรคประชาชนอาจมองถึงความจำเป็นของนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ต่อมุมมองนี้ รศ.ดร.บูฆอรีชี้ว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูลจึงพยายามเน้นตัวบุคคลด้านแนวนโยบายเศรษฐกิจ ทั้ง การเชื้อเชิญอดีตผู้บริหารหน่วยงานธุรกิจ-เอกชนเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรี เช่น นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น


นอกจากการเลือกตัวบุคคลในคณะรัฐมนตรีแล้ว รศ.ดร.บูฆอรียังมองว่าแนวโน้มนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยอาจมีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “ประชานิยม” ซึ่งเป็นนโยบายที่เห็นผลเร็วในระยะสั้น ดังที่มีการยกนโยบาย ‘คนละครึ่ง’ สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง
“ช่วง 4 เดือนเป็นเวลานานพอสมควรที่จะทำอะไรได้เยอะ นโยบายของภูมิใจไทยจะเป็นลักษณะประชานิยม ต้องการเห็นผลในระยะสั้น เพื่อจะทำให้ตนเองได้รับความนิยม เป็นแต้มต่อในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น”
นอกจากแนวนโยบายเศรษฐกิจแล้ว ในด้านภาพลักษณ์ทางการเมืองที่นายอนุทิน ชาญวีรกูลพยายามสื่อสาร เช่น การเข้าถึงง่ายนี้ รศ.ดร.บูฆอรีมองว่าเป็นหนึ่งใน “การเมืองสไตล์ประชานิยม” เช่นเดียวกัน ซึ่งคำว่าประชานิยมไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงการแสดงออกทางภาพลักษณ์ด้วยเช่นกัน
“คุณอนุทินเดินมาตามแนวทางของคุณทักษิณตั้งแต่พรรคไทยรักไทย เช่น โปรโมทคุณทักษิณค้างแรมกับชาวบ้าน จกข้าวเหนียว (ขี่มอเตอร์ไซค์) สร้างภาพลักษณ์นักการเมืองที่ติดดิน”
มองการเมืองภาคใต้ตอนกลาง-ล่าง สส.ย้ายพรรค พื้นที่ช่วงชิงฐานเสียง
นอกจากภาพการเมืองและนโยบายระดับประเทศแล้ว หนึ่งในภูมิภาคทางการเมืองที่เกิดความเปลี่ยนแปลงคือ ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ สส. 4 เสียง โหวตสนับสนุนรัฐบาลอนุทิน ขัดกับมติพรรคให้งดออกเสียง และ สส.กลุ่มนี้มีแนวโน้มย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ได้แก่
นายสรรเพชญ บุญญามณี (เขต 1 สงขลา)
นายสมยศ พลายด้วง (เขต 3 สงขลา)
นายราชิต สุดพุ่ม (เขต 1 นครศรีธรรมราช) และ
นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ (เขต 3 พัทลุง)
รศ.ดร.บูฆอรีมองว่าความแข็งแรงของพรรคประชาธิปัตยน์ในพื้นที่ภาคใต้เปลี่ยนไป จากเดิมที่มีความนิยมทั่วถึงได้รับความท้าทายตั้งแต่ช่วงการเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา และมองว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น จะมีพรรคที่สอดแทรกคะแนนเสียงได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม และพรรคประชาชน ซึ่งการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 ในฐานะพรรคก้าวไกลได้รับความนิยมแบบบัญชีรายชื่อ
โจทย์ความเป็นประชาธิปไตยของพรรคการเมือง
ในข้อถกเถียงด้านการเมืองนี้ รศ.ดร.บูฆอรีตั้งข้อสังเกตว่าปรากฎการณ์ทางการเมืองเหล่านี้ สะท้อนลักษณะของพัฒนาการทางการเมืองของสถาบันพรรคการเมืองว่า ในเชิงหลักการแล้วพรรคการเมืองควรมี “ความเป็นสถาบันทางการเมือง” กล่าวคือ มีความยืนยาว ไม่ยึดติดกับตัวบุคคล และมีความเป็นประชาธิปไตยภายใน
แต่ลักษณะการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ส่วนใหญ่จะมีการยึดติดกับตัวบุคคล ซึ่งสะท้อนในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2566 ซึ่งมีหลายเขตเลือกผู้สมัครแบบเขต ต่างจาก เลือกพรรคการเมืองในระบบบัญชีรายชื่อ
“ในทางหลักการที่เกี่ยวโยงกับความเป็นประชาธิปไตย ก็อยากเห็นผู้สมัครที่สัมพันธ์กับพรรค ไม่ใช่เลือกระบบเขตที่มาจากคุณสมบัติส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวโยงกับพรรค” รศ.ดร.บูฆอรีกล่าว
เรื่อง: กองบรรณาธิการ