ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาโครงการป้องกันการกัดเซาะ “หาดชลาทัศน์-สมิหลา” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย บทเรียน 10 ปี ปกป้องหาดธรรมชาติ

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาโครงการป้องกันการกัดเซาะชายหาดชลาทัศน์-หาดสมิหลา ปี พ.ศ. 2558 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีคำสั่งฟื้นฟูหาดสู่สภาพเดิม ภาคประชาชนมองเป็นบทเรียน 10 ปี สะท้อนความพยายามรักษาหาดธรรมชาติอย่างยั่งยืน

วันที่ 18 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ศาลปกครองสงขลา อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกรณีพิพาทการดำเนินโครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณหาดชลาทัศน์และหาดสมิหลา จ.สงขลา ซึ่งมีการฟ้องคดีตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 โดย สงขลาฟอรั่ม, กลุ่ม Beach for Life, กลุ่ม Law Long Beach, และสหกรณ์ประมงพื้นบ้านชุมชนเก้าเส้ง ขอให้เพิกถอนโครงการ ยื่นฟ้อง

ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1), 
สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา (ทสจ.) (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2), 
อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) 
อธิบดีกรมเจ้าท่า (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) 
และ เทศบาลนครสงขลา (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5)

PSU Broadcast ไล่เรียงรายละเอียดลำดับเหตุการณ์ก่อนผลวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ดังนี้

ลำดับเหตุการณ์โครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งหาดชลาทัศน์-สมิหลา จ.สงขลา

หมายเหตุ: เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์, ฐานข้อมูลจาก Beach for Life และ มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน

โครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งหาดชลาทัศน์และหาดสมิหลา จ.สงขลา เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2558 ซึ่งชายหาดสงขลาตั้งแต่บริเวณหาดเก้าเส้งเกิดสถานการณ์กัดเซาะชายหาดและมีความพยายามก่อสร้างโครงสร้างแข็งโดยเทศบาลนครสงขลา จากบริเวณหาดเก้าเส้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา 

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2558 นายธำรงค์ เจริญกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาในสมัยนั้น ร่วมกับ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา (ทสจ.) ดำเนินโครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งหาดสมิหลา-ชลาทัศน์ ด้วยการก่อสร้าง ‘รอดักทราย’ รูปตัว ‘I’ จำนวน 17 ตัว ความยาวตัวละ 48 เมตร ระยะห่าง 60 เมตร รวม 2 ระยะโครงการ 1,100 เมตร พร้อมการเสริมทรายชายฝั่ง 30-50 เมตร  

การริเริ่มโครงการเป็นเหตุให้ สภาพลเมืองสงขลาและภาคประชาชนกลุ่ม Beach For Life และกลุ่ม Crescent Moon Lawyers (กลุ่มทนายความอาสาเพื่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันในชื่อ Law Long Beach) ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งขอให้ระงับโครงการ 

ต่อเนื่องถึงสภาพลเมืองเยาวชนสงขลายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ให้ระงับโครงการ, ยื่นหนังสือต่อเทศบาลนครสงขลาเพื่อขอคำชี้แจ้งรายละเอียดการดำเนินโครงการ รวมถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เพื่อชะลอการดำเนินโครงการ 

ที่มาภาพ: Beach for life
สภาพชายหาดปัจจุบัน ในแนวพื้นที่ตามแผนดำเนินโครงการ (ถ่ายเมื่อ กันยายน พ.ศ.2568)

ต่อมา เดือนกรกฎาคม 2558 กลุ่ม Beach for Life พบเห็นการดูดทรายมาเติมบริเวณชายหาด และ วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2558 หลังจากวางโครงเหล็กสำหรับหล่อคอนกรีตเสริมเหล็กบริเวณพื้นที่ชายหาด ได้นำแท่งคอนกรีต 20 แท่นฝังลงใต้ทรายชายหาด

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2558 สงขลาฟอรั่ม, กลุ่ม Beach for Life และ กลุ่ม Crescent Moon Lawyers และกลุ่มประมงพื้นบ้านชุมชนเก้าเส้งยื่นฟ้องศาลปกครอง ขอให้พิพากษาการดำเนินโครงการว่าเป็นโครงการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและปรับพื้นที่สู่สภาพเดิม

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2558 ศาลปกครองสงขลาลงพื้นที่เดินเผชิญสืบบริเวณโครงการฯ พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ เครือข่ายภาคประชาชนที่ฟ้องคดี โดยมีผู้พบเห็นว่าหนึ่งวันก่อนหน้านั้น- ได้มีการนำแนวแท่งคอนกรีต 20 แท่งออกจากพื้นที่ชายหาดก่อนที่จะมีการเดินเผชิญสืบดังกล่าว

เดือนกันยายน พ.ศ.2558 มีการดำเนินการนำทรายจากบริเวณแหลมสนอ่อนเข้ามาเติมที่หาดชลาทัศน์ ระยะทางราว 600 เมตร 

ต่อมาในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2558 ศาลปกครอง พิพากษาชั้นต้นว่าผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้จัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อผู้ดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนการดำเนินการเป็นการเติมทรายทั้งหมดด้วยการดูดทรายจากแหลมสนอ่อนมานั้น ศาลเห็นว่าแม้จะเป็นการพยายามแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้ทำตามกระบวนการที่ถูกต้อง และไม่มีการขออนุญาตครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดจากกรมเจ้าท่า 

อ่านคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น 

หลังผ่านกระบวนการอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดนัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 และ นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2568 

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด วินิจฉัยโครงการฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ห้ามดำเนินการจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า 

วันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2568  ณ ศาลปกครองสงขลา ตั้งแต่เวลา 14:00 น. ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา) ในฐานะส่วนราชการซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการป้องกันการกัดเซาะชายหาดสมิหลา-ชลาทัศน์อันเป็นข้อพิพาทในคดีนี้ ยังไม่ได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จึงเป็นเหตุให้การดำเนินโครงการป้องกันการกัดเซาะชายหาดสมิหลา-ชลาทัศน์ เป็นโครงการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา) ไม่ได้ใช้อำนาจเจ้าท่าพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ และใต้น้ำ ของทะเลภายในน่านน้ำไทย หรือบนชายหาดของทะเล ตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2556 และพิจารณาออกใบอนุญาตให้ดูดทรายในทะเล เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 (กรมเจ้าท่า)

อย่างไรก็ตามเมื่อศาลปกครองชั้นต้นตรวจสถานที่พิพาทเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2558 ข้อเท็จจริงปรากฎต่อศาลว่าได้มีการรื้อถอนแท่งคอนกรีตออกจากบริเวณชายหาด จึงไม่ปรากฎต่อศาลว่ามีการวางแนวแท่งคอนกรีต

จากนั้น เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ส่งเอกสารแสดงการแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้าง ครั้งที่ 2/2558 ลงวันที่ 8 กันยายน 2558 ซึ่งเป็นบันทึกแนบท้ายสัญญาจ้าง เพื่อปรับลด – เพิ่มปริมาณงานสำหรับทั้งสองสัญญา โดยมีเนื้อหาเป็นการแก้ไขรูปแบบโครงการเสียใหม่ กล่าวคือ โครงการที่ 1 ได้เปลี่ยนแปลงโดยยกเลิกงานหล่อและจัดวางแท่งคอนกรีตทั้งหมด โดยจะดำเนินการเติมทรายเพียงอย่างเดียว ในระยะทาง 600 เมตร ส่วนโครงการที่ 2 ก็จะยกเลิกงานหล่อและวางแท่งคอนกรีตทั้งหมด โดยจะดำเนินการเติมทรายเพียงอย่างเดียวด้วยเช่นกันในระยะทาง 1,750 เมตร 

โดยสรุป ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่จำต้องกำหนดบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามโครงการดังกล่าว และปรับสภาพพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิมโดยงบประมาณของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าตามคำขอท้ายคำฟ้องอีกต่อไป เนื่องจากการดำเนินโครงการได้ปรับเปลี่ยนให้ไม่มีโครงสร้างแข็ง

ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น เป็น “ห้ามผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กระทำการใด ๆ ตามโครงการที่พิพาทในส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พุทธศักราช 2456 จนกว่าจะได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2556 แล้ว ทั้งนี้ นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก”

อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดฉบับเต็มได้ที่ BeachforLife

ภาคประชาชนมองบทเรียน 10 ปี ปกป้องหาดธรรมชาติ 

ภายหลังจากการรับฟังการอ่านคำพิพากษาในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568 เครือข่ายภาคประชาชนและผู้ฟ้องคดีให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึก และ มองบทเรียนที่ได้รับจากความพยายามตลอด 10 ปี ของการปกป้องหาดธรรมชาติ สนับสนุนแนวทางการรับมือกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน ยึดหลักการมีส่วนร่วมและข้อมูลทางวิชาการ 

ส.รัตนมณี พลกล้า ทีมทนายความผู้ฟ้องภาคประชาชนมองว่าคำตัดสินของศาลปกครองไม่มีอำนาจวินัจฉัยให้โทษหน่วยงานทางปกครอง จึงเป็นโจทย์ของภาคประชาชนในการดำเนินการตรวจสอบต่อเนื่องหลังจากคำพิพากษาคดี 

มองว่าคำพิพากษาในคดีนี้ มองว่าหากภาคประชาชนติดตามโครงการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและดำเนินการอย่างทันท่วงที จะเห็นผลว่าหน่วยงานต้นทางมีการแก้ไขตามที่มีการฟ้องร้องหรือตามหลักวิชาการ หน่วยงานนั้นจะไม่ต้องรับผิด

ส.รัตนมณี พลกล้า

ด้านอภิศักดิ์ ทัศนี กลุ่ม Beach For Life มองว่าการขับเคลื่อนของภาคประชาชนตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมาในการหยุดโครงการก่อสร้าง และนำเสนอแนวทางฟื้นฟูหาด-แก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืนนั้นเป็นการตื่นรู้ทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อคดีศาลปกครองให้รื้อถอนกำแพงกันคลื่นหาดม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา และ คำสั่งศาลปกครองสูงสุดคุ้มครองชั่วคราวโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นหาดมหาราช อ.สทิงพระ จ.สงขลา ระยะที่ 3  รวมถึงการผลักดันให้การก่อสร้างกำแพงกันคลื่นทุกขนาดต้องทำ EIA

อย่างไรก็ตามอภิศักดิ์ได้ตั้งข้อสังเกตถึงร่องรอยที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ และหากพิจารณาคำพิพากษาให้ไม่มีหน่วยงานใดต้องรับผิดชอบต่อผลของการดำเนินโครงการแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว จะสะท้อนถึง ‘วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด’ ในระยะยาวหรือไม่

“ผมคิดว่าชัยชนะเริ่มจากเขายกแท่งคอนกรีตออกจากหาด คือการตื่นรู้ทางสังคมของพลเมืองที่หยุดโครงการนี้ได้” อภิศักดิ์กล่าว

อภิศักดิ์ ทัศนี BEACH FOR LIFE

ทั้งนี้ เฉลิมศรี ประเสริฐศรี หนึ่งในทีมทนายความกล่าวว่า หากย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2558 การเปิดเผยข้อมูลโครงการต่อสาธารณะ เช่น แบบสัญญาจ้าง การติดป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ นั้นเกิดจากการที่ผู้ฟ้องคดีติดตามโครงการต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ซึ่งส่งผลให้แตกต่างจากการติดป้ายประชาสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว

พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อการปรับเปลี่ยนแบบการดำเนินโครงการว่าเกิดจากขั้นตอนการขอไกล่เกลี่ยในศาลจนเหลือเพียงการเติมทรายชายหาดอย่างเดียว พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงระยะเวลาพิจารณาที่ต่างกันว่า ศาลปกครองชั้นต้นใช้เวลา 1 ปี 2 เดือน 1 วัน ศาลปกครองสูงสุดใช้เวลา 8 ปี 9 เดือน 

เฉลิมศรี ประเสริฐศรี ทีมทนายความด้านสิ่งแวดล้อม

เรื่องและภาพ: ธีรภัทร อรุณรัตน์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *