Intermittent Fasting (IF) เป็นวิธีการลดน้ำหนักอีกวิธีหนึ่งโดยการควบคุมแคลอรี่และจำกัดเวลาในการทานอาหาร โดยมีหลากหลายวิธีในการปฏิบัติ แต่วิธีที่ได้รับความนิยมก็คือจำกัดเวลาทานอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ เราสามารถ ทานได้เวลา 6:00-14:00 โดยหลังจาก 14:00 เป็นช่วงงดอาหาร ทานได้เพียงแต่น้ำเปล่า หรือกาแฟ ชา ที่ไม่ใส่น้ำตาล (งดเว้นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ในช่วงอดอาหาร เพราะจะกระตุ้นให้เกิดความหิวและอยากน้ำตาลได้) สรุปคือไม่ได้ทานอาหารมื้อหนึ่ง นั่นก็คือ มื้อเย็น โดยแค่แนวคิดตัดอาหารไปหนี่งมื้อนั้นก็คือ แคลอรี่ที่หายไปหนึ่งวัน หากทำได้ติดต่อกัน ยังไงน้ำหนักต้องลดได้แน่นอน
“IF หรือ Intermittent Fasting คือการงดอาหารเป็นเวลา โดยมีเวลาให้เลือกหลายรูปแบบ แต่ที่เป็นที่นิยมที่สุดคือสูตร 16:8 คือสามารถกินอาหารได้ภายใน 8 ชั่วโมง และ 16 ชั่วโมงที่เหลือให้งดอาหารที่ให้พลังงานทุกชนิด เพื่อปล่อยให้ร่างกายดึงพลังงานที่สะสมอยู่ออกมาใช้ และที่สำคัญต้องออกกำลังกายเพื่อกระชับกล้ามเนื้อและกินอาหารให้ครบ 5 หมู่อีกด้วย”
จากข้อมูลของวารสารทางการแพทย์ The New England Journal of Medicine ได้กล่าวถึงข้อดี/ประโยชน์ของการทำ IF ไว้ดังนี้
- อนุมูลอิสระในร่างกายลดลง
- การอักเสบซ่อนเร้นในร่างกายลดลง
- ชะลอวัย อ่อนเยาว์ขึ้น เป็นผลมาจากอนุมูลอิสระ และการอักเสบในร่างกายลดลง
- ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีมากยิ่งขึ้น (ถ้าร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน อาจเสี่ยงโรคเบาหวาน)
- ช่วยทำให้ยีนส์ที่ดีบางตัวแสดงออกได้ดีขึ้น โดยเฉพาะ สารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง ให้เราฉลาดขึ้น
- ความจำดีขึ้น
- ร่างกายซ่อมแซมดีเอ็นเอได้ดีขึ้น
- ร่างกายจัดการกับเซลล์ที่ใช้ไม่ได้ได้ดีขึ้น โดยนำบางส่วนที่ยังใช้ได้อยู่นำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายดำเนินต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
**ประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้น เกิดจากการวิจัยในระยะไม่นาน ยังไม่มีผลงานวิจัยในระยะเกิน 10 ปี ดังนั้นในอนาคตอาจจะต้องติดตามกันต่อว่าการทำ IF มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
สำหรับผู้ที่อยากทำ IF ควรศึกษาตัวเองหากมีปัญหาโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเพื่อความปลอดภัย และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการตรวจระดับวิตามินแร่ธาตุในเลือด หรือระดับฮอร์โมนในร่างกาย จะช่วยให้การทำ IF ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น