กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กระวังป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) พบมากในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่อาการทั้งในเด็กและผู้ใหญ่จะดีขึ้นหลังการรักษา 1-2 สัปดาห์ แนะล้างมือบ่อยๆ ไม่ใช้แก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งผู้ติดเชื้อ หากอาการไม่ดีขึ้นรีบไปพบแพทย์ทันที
ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน ประเทศไทยมักพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial Virus: RSV) โดยเชื้อไวรัสนี้ติดต่อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะแสดงอาการหลังสัมผัสถูกเชื้อไวรัสในระยะเวลา 4-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะเริ่มตั้งแต่มีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จนถึงอาการรุนแรง เช่น หายใจเร็ว หอบเหนื่อยเนื่องจากปอดอักเสบ รับประทานอาหารได้น้อย ซึมลง การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ
โรคนี้สามารถพบได้ในผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุ แต่อาการจะรุนแรงในเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังเช่น เบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยมักพบเชื้อไวรัสอาร์เอสวีได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับฤดูกาลระบาดของไข้หวัดใหญ่ เชื้อไวรัสจะมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้หลายชั่วโมงโดยอาศัยอยู่ตามวัตถุต่างๆ และแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอหรือการจาม
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า ข้อมูลจากการเฝ้าระวังเชื้อก่อโรคปอดอักเสบรุนแรงจากโรงพยาบาล 30 แห่งในประเทศไทย ระหว่างปี 2555–2559 พบว่าในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่มาด้วยอาการปอดอักเสบรุนแรง 425 ราย มีการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ร้อยละ 44 (187 ราย) ตรวจพบเชื้อมากในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และเสียชีวิต 9 ราย ส่วนในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มาด้วยอาการปอดอักเสบรุนแรง 97 ราย มีการติดเชื้อฯ 4 ราย (คิดเป็นร้อยละ 5) และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย โดยผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน และมีประวัติการสูบบุหรี่
โรคปอด ยังเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย และยังเป็นหนึ่งในห้าอันดับต้นของโรคสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรสุขภาพ ที่สำคัญคือ ทำให้ประชากรไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรแต่ละปีนับหมื่นคน สามารถจำแนกโรคปอดในผู้ใหญ่ที่สำคัญในบ้านเรา ดังนี้
- โรคปอดติดเชื้อ ที่สำคัญ คือ “ปอดอักเสบ” และ “วัณโรค” ส่วนที่กำลังจับตากันอยู่มากขณะนี้ คือ “โรคปอดอักเสบจากเชื้อ COVID-19”
- โรคปอดที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ที่สำคัญ คือ “โรคถุงลมโป่งพอง” “มะเร็งปอด” และ “โรคหืด”
โดยช่วงวัยที่เสี่ยงกับการเกิดโรคปอดคือช่วงวัยเด็กและวัยชรา ในวัยเด็กสมรรถภาพปอดจะยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันก็ยังไม่มีพัฒนาการไปจนสมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสเกิดโรคปอดได้ง่ายโดยเฉพาะจากการติดเชื้อนั่นเอง
สำหรับในผู้สูงอายุจะมีโอกาสรับสารพิษต่อปอดสะสมมานาน อีกทั้งระบบภูมิคุ้มกันก็เสื่อมถอย จึงมีโอกาสป่วยจากโรคปอดที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อได้ง่าย เช่น “มะเร็งปอด” หรือ “โรคถุงลมโป่งพอง” ในอีกด้านหนึ่งก็จะเกิดโรคปอดจากการติดเชื้อได้ง่ายที่สำคัญคือ “ปอดอักเสบธรรมดาและที่เกิดจากการสูดสำลัก” และ “วัณโรคปอด”
ข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้ ดังนี้
1.ล้างมือบ่อยๆ ทั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
2.หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ เช่น ผู้ป่วยไข้หวัดหรือปอดอักเสบ โดยเฉพาะเด็กที่คลอดก่อนกำหนดและทารกในช่วงอายุ 1-2 เดือนแรกไม่ควรให้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ
3.หลีกเลี่ยงการนำมือที่ไม่สะอาดมาป้ายจมูกหรือตา ไม่ควรใช้แก้วน้ำร่วมกัน และทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นประจำ ส่วนกรณีที่มีอาการป่วยควรหยุดพัก โดยเฉพาะนักเรียน และควรปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม ดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำจะช่วยทำให้สารคัดหลั่ง เช่น เสมหะ หรือน้ำมูก ไม่เหนียวจนเกินไป และไม่ไปขัดขวางการทำงานของระบบทางเดินหายใจ หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น เช่น ไอมากหอบเหนื่อย ซึมลง รับประทานอาหารได้น้อย ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422