“ประกันสังคม” ชวนประชาชนแสดงความคิดเห็น ร่างกฎกระทรวงกำหนดเพดานค่าจ้างผู้ประกันตนมาตรา 33 ภายใน 28 ก.พ.2566 ประเด็นปรับฐานค่าจ้างจาก 15,000 บาท เป็นสูงสุดไม่เกิน 23,000 บาท จ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นจากเดิม 750 บาทเป็น 1,150 บาท
กระทรวงแรงงาน ได้เปิดรับฟังความเห็น “ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. … “ ผ่านทางเว็บไซต์ระบบกลางกฎหมาย law.go.th โดยจะปิดรับฟังความเห็นในวันที่ 28 ก.พ. 2566 สาระสำคัญของร่างกฎหมายที่กระทรวงแรงงานกำลังผลักดัน คือการปรับเพดานฐานค่าจ้างในการคำนวณการจ่ายเงินสมทบใหม่ โดยเสนอให้ปรับฐานค่าจ้างขั้นสูงจากเดิม 1.5 หมื่นบาท เป็นเพดานใหม่สูงสุดไม่เกิน 2.3 หมื่นบาท ซึ่งจะปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป
จากเดิมผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 1.5 หมื่นบาทขึ้นไป จะต้องจ่ายสมทบเดือนละ 750 บาท หากกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ ก็จะต้องจ่ายสมทบในอัตราใหม่ โดยผู้ที่มีรายได้ 2.3 หมื่นบาทขึ้นไป ถึงจะจ่ายสมทบในอัตราคงที่ แบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” โดยแบ่งการประกาศบังคับใช้ออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
ปี 2567-2569 ค่าจ้างไม่เกิน 1.75 หมื่นบาท
ปี 2570-2572 ค่าจ้างไม่เกิน 2 หมื่นบาท
ปี 2573 + ค่าจ้างไม่เดิน 2.3 หมื่นบาท
ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ผู้ประกันตนที่มีนายจ้าง เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 โดยกำหนดให้ต้องจ่ายสมทบ 5% ของค่าจ้าง (เดิมไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ใหม่ไม่เกิน 1.75 หมื่นบาท, 2 หมื่นบาท, 2.3 หมื่นบาท ตามลำดับ)
โดยร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2567 นั่นมีผลทำให้
-ช่วงปี 2567-2569 ลูกจ้างที่รับค่าจ้างตั้งแต่ 1.75 หมื่นบาทขึ้นไป จ่ายเงินสมทบ 875 บาท
-ปี 2570-2572 ลูกจ้างที่รับค่าจ้างตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป จ่ายสมทบ 1,000 บาท
-ปี 2573 เป็นต้นไป ลูกจ้างที่รับค่าจ้างตั้งแต่ 2.3 หมื่นบาทขึ้นไป จ่ายสมทบ 1,150 บาท
อย่างไรก็ดี การจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นนั้น สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนด้วย อาทิ
-เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย 50 % ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
-เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ 70 % หรือ 30 % ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
-เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร 50 % ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
-เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 50 % ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
-เงินทดแทนการขาดรายได้ในกรณีว่างงาน 50 % หรือ 30 % ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
-เงินบำนาญชราภาพ ไม่ต่ำกว่า 20 % ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบ 15 ปี จะได้รับบำนาญ 20 % ของค่าจ้าง ส่วนผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับบำนาญเพิ่มอีก 1.5 % ทุกการส่งเงินสมทบครบ 12 เดือน
ประชาชนแสดงความคิดเห็นผ่านเว็ปไซต์ www.law.go.th จนถึงวันที่ 28 ก.พ.2566 หลังจากนั้นสำนักงานประกันสังคมจะนำความคิดเห็นไปพิจารณาปรับปรุงร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
ธนพล รัตนภิญโญวรรณา
16/02/2023การแก้ไข ควรเพิ่มบำนาญชราภาพ โดยเริ่มที่ 30% ของค่าจ้าง และเพิ่ม 2% ทุกปี เพื่อให้ ผู้ประกันตน สามารถเลี้ยงชีพได้ เมื่อชราภาพ เพราะในร่างแก้ไขจำนวนเงินบำนาญน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับ บำนาญของข้าราชการ ที่รับบำนาญ ขั้นต่ำ 10,000 บาท ต่อเดือน ทำให้เกิดความเลื่อมล้ำสูงมาก