แม่เสี่ยงโควิด-19 ให้นมลูกได้…แต่ต้องป้องกันอย่างเคร่งครัด

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำสำหรับแม่หลังคลอดที่เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อหรือได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ COVID-19 สามารถให้นมลูกได้ แต่ต้องมีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้ออย่างเคร่งครัด พร้อมแนะนำสำหรับผู้บริจาคอาหารสําหรับทารก และอาหารสําหรับเด็กเล็ก ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร
อธิบดีกรมอนามัย

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 นอกจากกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องให้การดูแลเป็นพิเศษแล้ว ทารกแรกเกิด ถือเป็นอีกกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน เพราะนมแม่เป็นอาหารที่ดีมีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก และสร้างภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถติดผ่านทางรกหรือทางน้ำนมได้

“กรณีแม่หลังคลอด ที่เป็นผู้เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อหรือได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ COVID-19 จึงสามารถให้นมลูกได้ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ(UNICEF) มีคำแนะนำว่า หากแม่ที่ติดเชื้อมีอาการไม่มาก สามารถให้นมจากเต้าได้ก็ควรทำ แต่ต้องมีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้ออย่างเคร่งครัด”

โดยคุณแม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมืออย่างถูกวิธี ห้ามใช้มือสัมผัสบริเวณใบหน้า จมูกหรือปากรวมถึงการหอมแก้มลูกด้วย กรณีที่แม่ติดเชื้อมีอาการรุนแรง เช่น มีอาการไอบ่อยครั้ง แต่ยังสามารถบีบเก็บน้ำนมได้ ควรให้พ่อหรือผู้ช่วยเป็นผู้ป้อนนมแก่ลูกแทน โดยหากมีผู้ช่วยจะต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี มีทักษะ ความรู้และเข้าใจหลักการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้ออย่างเคร่งครัด การบีบน้ำนมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้แม่ยังคงสภาพในการให้นมแก่ลูกได้ เมื่อหายป่วยแล้วทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ COVID-19 จัดเป็นผู้มีความเสี่ยงจะต้องมีการแยกตัวออกจากทารกอื่นและต้องสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน

ส่วนกรณีผู้ที่ต้องการบริจาคอาหารสําหรับทารก และอาหารสําหรับเด็กเล็ก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรค COVID-19  หากเป็นผู้ผลิต ผู้นําเข้า หรือผู้จําหน่ายอาหารสําหรับทารก อาหารสําหรับเด็กเล็ก หรือตัวแทน บริจาคอาหารสําหรับทารกถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 แต่สำหรับบุคคลทั่วไป หน่วยงาน และองค์กร ที่ไม่ใช่ผู้ผลิต ผู้นําเข้า หรือผู้จําหน่ายอาหารสําหรับทารกหรืออาหารสําหรับเด็กเล็กหรือตัวแทน สามารถบริจาคได้โดยไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย (มาตรา 23)

ทั้งนี้ หน่วยงานหรือองค์กรที่ดำเนินการรับบริจาค หรือเป็นผู้บริจาคควรประสานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อทำการคัดกรองให้ตรงกับความต้องการของผู้รับบริจาค ซึ่งการบริจาคควรพิจารณาให้กับกลุ่มแม่ที่ใช้นมผงอยู่ก่อนแล้ว และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19  ไม่ควรบริจาคให้กับผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อยู่แล้วเพราะจะเป็นการเพิ่มภาระค่านมผงให้แก่แม่ในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูล : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

โพสต์ไว้ที่: News เก็บเข้าไฟล์ไว้ที่: