คณะแพทยศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ร่วมกับ บ.หาดทิพย์ จำกัด(มหาชน ) พัฒนาตู้กดยาอัตโนมัติ”ล่วมยา ร่วมใจ ต้านภัยโควิด” บริการ 24 ชม.โดยมียาสามัญประจำบ้านครอบคลุมทั้งการวินิจฉัย การรักษา และการป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย เจลล้างมือแอลกอฮอล์ อุปกรณ์ฆ่าเชื้อ อุปกรณ์วัดออกซิเจนที่ปลายนิ้ว ชุด ATK เครื่องวัดไข้ ยาสามัญประจำบ้านรักษาตามอาการผู้ติดเชื้อโควิด
โครงการนำร่องตู้อัตโนมัติ “ล่วมยา รวมใจ ผ่านภัย โควิด” ให้บริการเเก่ประชาชนทั่วไปเเละผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถเข้าถึงยารักษาโรคเบื้องต้นและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นอย่างครบวงจร และสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการโรคติดเชื้อของปะเทศ ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโนรา 2019 ได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการโรคติดเชื้อ จากโรคระบาดใหญ่เป็นโรคประจำถิ่น และมีการปรับแนวทางการรักษา การดูแลผู้ป่วยด้วยระบบการดูแลแบบผู้ป่วยนอก และการแยกกักตัว หรือ เจอ แจก จบ สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย โดยผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงยารักษาโรคเบื้องต้นและอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างครบวงจร ตั้งแต่ การป้องกัน การวินิจฉัยและการรักษาตลอด 24 ชั่วโมง
รศ.พญ.มณฑิรา ตัณฑนุช ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และหัวหน้าโครงการนำร่องตู้อัตโนมัติ “ล่วมยา รวมใจ ผ่านภัย โควิด” กล่าวว่า ตู้กดยาตู้อัตโนมัติฯ เป็นการนำเทคโนโลยีโลจิสติกส์ ระบบบริหารห่วงโซ่อุปทาน และเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (vending machine) โดยภายในตู้บรรจุยาสามัญประจำบ้านที่ใช้ในการบรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งในรูปแบบยาสามัญประจำบ้านทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ ที่มีมาตรฐานและถูกพระราชบัญญัติยาสามัญประจำบ้านทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ เช่น ยาแก้ไอ ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น เช่น ชุดตรวจ ATK เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด รวมถึงหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น นอกจากผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างครบวงจรแล้วยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงของเภสัชกรในร้านยาที่มักเป็นผู้สัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงในสถานการณ์ปัจจุบัน
ทั้งนี้ตู้อัตโนมัติ “ล่วมยา รวมใจ ผ่านภัย โควิด” ตั้งอยู่หน้าร้านยา “โอสถศรีตรัง” (ประตู 109) คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถชำระค่าสินค้าได้ทั้งระบบ เหรียญ ธนบัตร E-Banking และ QR Code Payment โดยคาดว่าจะมีการประเมินภายใน 2 เดือนนี้ว่าผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นมากน้อยเพียงใดและหากมีผลตอบรับดีจะพิจารณาขยายจำนวนตู้เพื่อให้เข้าถึงชุมชนได้มากยิ่งขึ้น เเละพัฒนาระบบให้เชื่อมกับฐานข้อมูลผู้ป่วย เพื่อจ่ายยาตามอาการโดยไม่ต้องไปรับยาที่โรงพยาบาล
